วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

แคทเทิน ๒ : ปักษาและวิฬาร์



ความคืบหน้ากรณีที่สถานีอวกาศนานาชาติ หรือ ISS ได้รับความเสียหาย นั้น ได้รับการเปิดเผยจาก ดร. ฮิวส์ตัน ผู้อำนวยการองค์การ xxx ว่าขณะนี้ได้จัดส่งอุปกรณ์ซ่อมแซมไปให้นักบินอวกาศใช้แล้ว คาดว่าจะสามารถดำเนินการซ่อมแซมได้ภายในวันนี้ ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่าความเสียหายดังกล่าวเป็นรอยแยกสี่ขีดคล้ายรอยเล็บแมว...

เล็บแมว ! เดี๋ยวนี้โลกเราชักจะแปลกมากขึ้นทุกวันนะแม่ จะมีแมวตัวไหนออกไปข่วนสถานีอวกาศได้ และดูสิรอยเล็บดังกล่าวก็ใหญ่เกินกว่าจะเป็นเล็บแมวนะ พ่อว่าน่าจะเกิดจากการที่ โอ๊ย!” ธนาสะดุ้งถอยหลังจากโทรทัศน์จอแบน LED เมื่อมีมือข้างหนึ่งหยิกเข้าที่หูข้างขวาอย่างแรง

มาช่วยแม่ปาดหน้าเค้กเสียดี ๆนภาทำท่าจะดึงหูสามีของเธออีกที่หาโอกาสอู้จากการทำเค้ก
เข้าใจแล้วแม่ อย่าดึงหูเขาสิ เดี๋ยวหลุดธนาเดินตามภรรยาเข้าไปในครัวแต่โดยดี

***
         
นี่มันที่ไหนกัน กล้าจำได้ว่าเขานั่งอยู่บนเบาะของรถไฟเหาะตีลังกาที่สวนสนุกกับเพื่อน ๆ แต่แล้วเมื่อรถไฟใกล้จอดก็ปรากฏแสงสว่างจ้า ตัวเขาถูกเหวี่ยงไปข้างหน้าและกลับมานั่งก้นจ้ำเบ้าอยู่บนพื้นในสถานที่สุดประหลาด ห้องแคบ ๆ ที่มีนกสวมชุดเกราะสีดำเมื่อมขนาดตัวเท่าคนอยู่เต็มไปหมด แต่ละตัวก็สูงกว่าเขาแทบทั้งสิ้น ยกเว้นเจ้านกเขาตัวที่อยู่ตรงหน้าเขานี่ ที่ต่างออกไป นอกจากจะตัวเตี้ยกว่าเขาแล้ว ยังใส่ชุดเกราะสีเขียว และสวมหมวกทรงหม้อตาลซึ่งมีตราปีกนกประดับอยู่ตรงหน้าหมวกอีก

จุ๊กกรู ####@#@#@#@#@#@” เจ้านกเขาตัวเขื่องที่อยู่หน้าเขาพูดขึ้นด้วยภาษาที่เขาฟังไม่ออก นอกจากคำว่า จุ๊กกรู เท่านั้น

“%%BB@$@#$@#@#$ จุ๊กกรู

พูดอะไรฟังไม่รู้เรื่องอีกแล้ว ทำไมถึงไม่พูดภาษาไทยนะ

“&&%$%^%#$#@ จุ๊กกรู!” เจ้านกเขาข้างหน้าเริ่มเสียงดังขึ้น พร้อมจ้องหน้าเขาเขม็ง
ชักจะรำคาญเสียแล้วสิ
“****จุ๊กกรูเจ้านกเขาเสียงดังขึ้นกว่าเก่า พร้อมยกปีกข้างหนึ่งชี้มาที่เขา ในขณะที่นกตัวอื่นเริ่มเข้ามารุมล้อมเขา

ท่าจะไม่ดีเสียแล้วสิ

ผมฟังคุณไม่รู้เรื่องกล้าตัดสินใจพูดออกไป คำกล่าวของเขาทำให้นกทุกตัวชะงัก ส่วนนกเขาข้างหน้ามีสีหน้าฉงน ก่อนจะใช้ปีกข้างที่ชี้หน้าเขาอยู่หยิบเอาอะไรบางอย่างออกมา และเมื่อเขาเห็นชัดเจนว่าเป็นอะไร กล้าก็ใจฝ่อลงทันที

นั่นมัน ปืนนี่นา!
เฮ้ทำอะไรปล่อยผมนะเด็กหนุ่มโวยวายเมื่ออยู่ ๆ นกตัวหนึ่งจะเข้ามาล็อคแขนทั้งสองข้างไว้แน่น ส่วนเจ้านกเขาข้างหน้าก็เอาปืนจ่อที่หัวเขา

นี่กะจะฆ่ากันเลยเหรอเขายังไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะ แค่โวยวายหน่อยเดียวเอง

อย่า..เด็กหนุ่มพูดได้เพียงเท่านั้น เจ้านกเขาก็ลั่นไกออก

ฟุบ!

เด็กหนุ่มรู้สึกเจ็บแปลบตรงต้นคอ สักพักก็รู้สึกคล้ายกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นเข้าสู่ร่างกาย เขารู้สึกชาไปหมดทั้งตัว แต่ก็สักพักเท่านั้น เพราะหลังจากนั้นร่างกายเขาก็กลับเป็นปกติอีกครั้ง และเจ้านกตัวที่จับแขนเขาอยู่ก็ปล่อยเขาให้เป็นอิสระ
ทีนี้ก็พูดกันรู้เรื่องแล้วนะเจ้านกเขาข้างหน้าเก็บปืนที่เพิ่งใช้ยิงเขาไว้ที่เอว
ไม่ต้องตกใจไป นั่นคือ ชิบแปลภาษาขนาดเท่าจุลินทรีย์ ที่จะกระตุ้นให้สมองสามารถเข้าใจภาษาของพวกเราได้ และยังทำให้พวกเราเข้าใจภาษาของพวกเจ้าได้อีกด้วย
ทีนี้ ก็ตอบคำถามของข้ามาได้แล้วเจ้าหนูเจ้านกเขาขยับหน้าเข้าใกล้เขา
ว่าเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร
เด็กหนุ่มยิ้มก่อนที่จะให้คำตอบด้วย  

มะเหงก

โอ๊ยนี่หาเรื่องข้าหรือไง ฮึ จุ๊กกรูเจ้านกเขายกปีกขึ้นลูบหัวป้อย ๆ
นั่นสำหรับการที่คุณยิงผมโดยไม่บอกกล่าว และสำหรับการเรียกผมว่าเจ้าหนูด้วยกล้าตอบอย่างไม่เกรงกลัว นกตัวที่เคยล็อคแขนเขาไว้เดินเข้ามาพร้อมจะลงมือกับเขา แต่เจ้านกเขายกปีกขึ้นห้าม
ไม่ต้อง ข้าจัดการเองเจ้านกเขายื่นหน้าเข้าใกล้เด็กหนุ่มก่อนที่จะเผยอยิ้ม
โอ๊ยมันเจ็บนะเด็กหนุ่มลูบหัวตัวเองที่พึ่งถูกนกเขากระโดดจิก ในขณะที่เจ้านกเขาตรงหน้าและนกที่เหลืออยู่หัวเราะในท่าทางของเด็กหนุ่ม
 “เอาละเลิกเล่นกันเสียทีเจ้านกเขากลับมาทำหน้าจริงจังอีกครั้งทำให้นกตัวอื่น ๆ หยุดหัวเราะ
ตอบข้ามาได้หรือยังเจ้าหนูว่า เข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ?” เด็กหนุ่มนิ่ง
ข้าถามว่าเข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ?” เด็กหนุ่มยังคงไม่ตอบ
ตอบข้ามาเดี๋ยวนี้นะ จุ๊กกรู!” เจ้านกเขาขึ้นเสียงอีกครั้ง
ผมจะไปรู้เหรอกล้าเถียงกลับ เขาเริ่มอารมณ์ไม่ดีเสียแล้วสิ อยู่ ๆ ก็มาเจอใครก็ไม่รู้มาตะคอกถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ผมก็เล่นรถไฟเหาะตีลังกาอยู่ดี ๆ แล้วก็มีแสงสว่างวาบ และแรงกระแทก แล้วผมก็มาเจอพวกคุณนี่แหละกล้าตะโกนใส่หน้าเจ้านกเขา
อ๋อเข้าใจละเจ้านกเขาใช้ปีกลูบคางของตนก่อนจะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ลากเจ้าเด็กนี่ออกไป!
เดี๋ยวก่อน นี่มันเรื่องอะไรกัน ปล่อยผมนะกล้าตะโกนและพยายามขัดขืนนกกระจอกในชุดเกราะสองตัวที่หิ้วปีกเขาพาไปที่ประตูทางออก แต่ยังไม่ทันที่จะไปถึง ประตูก็เปิดออกเสียก่อน
เกิดอะไรขึ้นที่นี่ ?” เป็นคำถามของนกตัวใหม่ที่ปรากฏกายขึ้นที่หน้าประตู นกสองตัวที่หิ้วปีกกล้าปล่อยมือออกจากแขนของเด็กหนุ่มทันที ก่อนที่จะทำท่าวันทยาหัตถ์ เจ้านกเขาก้าวเข้ามาและแสดงความเคารพด้วยท่าวันทยาหัตถ์เช่นกัน
มีเด็กแปลกหน้าเข้ามาในฐานทัพของพวกเราขอรับ จุ๊กกรู ท่านเวสป้าเจ้านกเขารายงานพร้อมกับชี้ปีกมาทางเด็กหนุ่มที่ตอนนี้กำลังจ้องมองนกตัวที่ถูกเรียกว่าท่านเวสป้าเขม็ง
นกตัวนี้สูงชะมัดเลยแฮะ’ เด็กหนุ่มคิดพลางสำรวจนกที่อยู่ตรงหน้า
ถ้าเด็กหนุ่มได้ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องของนกมาก็จะรู้ว่านกตัวที่เห็นอยู่ตรงหน้ามีลักษณะตรงกับนกกางเขนดงตัวผู้ เห็นได้จากขนสีดำเหลือบน้ำเงินทั้งบริเวณหัวและที่ปีก จงอยปากบนที่งุ้มลงเล็กน้อย ปีกหลังที่มนกลม นกกางเขนดงนี้มีร่างกายที่สูงใหญ่ จงอยปากที่แหลมคม ดวงตาที่ดูดุดัน ปีกหลังที่หากกางออกก็จะมีความยาวจากปลายปีกข้างหนึ่งจนถึงปลายปีกอีกข้างหนึ่งวัดได้ถึงห้าเมตร กรงเล็บที่ขาพร้อมที่จะฉีกกระฉากศัตรูเป็นชิ้น ๆ เมื่อรวมกับชุดเกราะและหมวกเกราะสีดำเข้มที่สวมใส่อยู่ ทำให้ดูน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก
มองอะไรเสียงห้วนสั้นที่ออกมาจากปากของนกกางเขนดงตรงหน้าทำให้กล้าสะดุ้ง พลางก้าวถอยหลังไปอย่างลืมตัวจนเกือบจะหกล้มดีที่มีนกข้างหลังคอยจับตัวเขาไว้
ฮ้าวอย่าตวาดใส่เด็กสิ เวสป้าเสียงที่ดังขึ้นมาทำให้ทุกคนในห้องหันไปมองทางเจ้าของเสียง สิ่งที่เด็กหนุ่มมองเห็นคือแมวดำตัวใหญ่เกือบเท่าคนนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ไม้หัวโต๊ะกำลังอ้าปากหาวหวอด ๆ อย่างไม่เกรงใจใคร และถึงแม้ว่าลำตัวส่วนบนจะถูกมัดอยู่ด้วยเส้นเชือกเรืองแสงสีแดง แต่เจ้าแมวดำก็ยกเท้าทั้งสองข้างขึ้นวางไว้บนโต๊ะ พร้อมกับเอนตัวไปข้างหลังทำท่าจะหลับต่อ
ใครใช้ให้แกพูด หา!” นกกระจอกตัวหนึ่งปราดเข้าไปหาก่อนจะทุบโต๊ะด้วยเสียงดังปัง ทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งอีกรอบ
ก็แค่บอกไม่ให้รังแกเด็กเท่านั้นเอง จริงไหมเวสป้าพูดเสร็จเจ้าแมวดำก็หันไปมองนกกางเขนดง
อย่ามาพูดเล่นกับข้าเวสป้าตอบกลับพร้อมจ้องเจ้าแมวดำตรงหน้าด้วยดวงตาที่ดุดัน
ไม่เอาน่าเพื่อน พูดแค่นี้ไม่เห็นต้องโกรธกันเลยเจ้าแมวดำเผยอยิ้มที่มองแล้วกวนประสาทที่สุด จนแม้แต่เด็กหนุ่มก็รู้สึกคันไม้คันมือขึ้นมาตงิด ๆ
จะมากไปแล้วนะเจ้าแคทเทินนกกระจอกอีกตัวทำท่าจะเข้าไปเล่นงาน แต่เวสป้าส่งสายตาเฉียบขาดปราม ทำให้นกตัวนั้นถอยหลังไปแต่โดยดี
พวกนกนี่ขี้โมโหอย่างนี้กันทุกตัวเลยหรือไง น่าจะปฏิบัติต่อเชลยศึกให้ดีกว่านี้นะเจ้าแมวดำทำท่ารำคาญ
เอาล่ะ นี่คือฐานทัพของพวกนก เจ้านกตรงหน้าเขานี่ชื่อเวสป้าเป็นหัวหน้าของพวกนกเหล่านี้ และแมวดำผู้ไม่รู้กาลเทศะเป็นเชลยศึกของพวกนี้ กล้าได้ข้อมูลเพิ่มเติมแล้ว
ถ้าแกยังไม่หุบปาก จะได้เจอดีแน่คำพูดของนกกางเขนดงทำให้กล้ารู้สึกหวาดหวั่นว่าถ้าเขาเป็นเชลยศึกของเจ้าพวกนี้บ้าง จะต้องเจอกับอะไรนะ
เอ้าถ้าหุบปากแล้วจะสอบสวนต่อได้ยังไงกัน หรือได้เวลาที่จะพาข้าไปเข้าห้องขังแล้วเจ้าแมวดำพูดโดยไม่สะทกสะท้าน
ได้อะไรบ้าง ?” นกกางเขนดงไม่สนใจที่จะต่อล้อต่อเถียงกับเชลยศึกอีกต่อไป เขาหันไปถามเจ้านกเขาที่เป็นลูกน้องแทน
นอกจากข้อมูลพื้นฐานแล้วเราไม่ได้อะไรเลยจากปากเจ้าแมวนี่เลยขอรับ จุ๊กกรูเจ้านกเขาเว้นวรรคก่อนจะพูดต่อ และพอกำลังจะสอบสวนต่อ อยู่ ๆ ก็มีแสงประหลาดและเจ้าเด็กนี่ก็โผล่มาขอรับ จุ๊กกรู
เอ้าวกกลับมาเรื่องของเขาจนได้ กล้าทำหน้าเซ็ง แต่นี่ก็เป็นโอกาสที่จะได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่มิใช่หรือ เด็กหนุ่มจึงหันกลับมามองหน้านกที่ชื่อเวสป้าอีกครั้ง ซึ่งเวสป้าก็จ้องตอบเขามา กล้ามองเห็นประกายตาที่ดูประหลาดใจ ทั่้งคู่จ้องหน้ากันอยู่พักหนึ่งก่อนที่ฝ่ายนกจะเอ่ยปากถาม
แล้วเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร ฮึ เจ้าหนู
ถามเรื่องนี้อีกละ น่ารำคาญจังแฮะ เด็กหนุ่มทำหน้าเซ็งแต่ก็ยอมตอบออกไปโดยดี
ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับเป็นคำตอบที่ตรงไปตรงมา
ไม่รู้อย่างนั้นหรือเจ้านกกางเขนดงตรงหน้าขมวดคิ้ว
เฮ้ยข้าขอเตือนนะขอรับ จุ๊กกรู ว่าอย่าเล่นลิ้นกับท่านเวสป้าเป็นอันขาดเจ้านกเขาเตือนด้วยถ้อยคำและสีหน้าที่เย็นชา
ผมก็ไม่ได้เล่นลิ้น ก็อย่างที่ผมบอกคุณจุ๊กกรูไปนั่นแหละว่า กำลังเล่นรถไฟเหาะตีลังกาอยู่ที่สวนสนุกกับเพื่อน ๆ อยู่ ๆ ก็มีแสงประหลาดสว่างวาบ แล้วผมก็มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรก็ไม่รู้
นั่นสินะ เด็กจะไปรู้อะไรล่ะ ถามอยู่ได้ ฮะ ฮะ คุณจุ๊กกรูเจ้าแมวดำหัวเราะได้อย่างน่าหมั่นไส้ที่สุด
เลิกเรียกข้าว่าคุณจุ๊กกรูได้แล้ว นั่นไม่ใช่ชื่อของข้านะขอรับ จุ๊กกรูเจ้านกเขาเริ่มโวยวาย
แล้วชื่ออะไรล่ะบอกผมมาสิ
เรื่องอะไรข้าจะบอกให้เด็กแปลกหน้าอย่างเจ้าล่ะขอรับ จุ๊กกรูเจ้านกเขาไม่ยอมแพ้แต่เมื่อเห็นสายตาของนกที่ชื่อเวสป้าที่มองมา เจ้านกเขาก็ยอมสงบปากสงบคำก่อนจะเอ่ยแนะนำตัวขึ้นว่า
ข้าชื่อ ชแปร์โรว พันตรีชแปร์โรว แห่งกองกำลังวิหควายุ ยินดีที่ได้รู้จักขอรับ จุ๊กกรู
เป็นนกเขาทำไมถึงชื่อชแปร์โรว?” เด็กหนุ่มยังคงสงสัย ชแปร์โรวนั่นควรจะเป็นนกกระจอกไม่ใช่หรือไง
ข้าจะตั้งชื่อตัวเองว่าอะไร มันก็เป็นเรื่องของข้านะขอรับ จุ๊กกรู
จะเถียงกันอีกนานไหมเป็นคำพูดที่เรียบแต่เฉียบขาด ส่งผลให้ทั้งคู่ต้องยุติการโต้เถียงลงทันที
ขอประทานโทษขอรับจุ๊กกรู กระผมเสียมารยาทไปหน่อยชแปร์โรวกล่าวพลางก้มหัวให้หัวหน้าของตน
เอาล่ะเจ้าหนู เรื่องต่อไปที่ข้าอยากรู้ก็คือเวสป้าหันมาพูดกับเด็กหนุ่มอีกครั้ง
เจ้าเป็นใคร ?”

นี่ควรจะเป็นคำถามแรกที่ถามก่อนที่จะถามว่าเขามาที่นี่ได้อย่างไรนะ

ผมชื่อ กล้ากับคนแปลกหน้าบอกข้อมูลของตนเองให้อีกฝ่ายรู้ให้น้อยที่สุดจะได้ปลอดภัย พี่สอนเขามาอย่างนั้น
กล้าเหรอ ชื่อดีนี่เวสป้ายกมือขึ้นกอดอกก่อนจะถามคำถามต่อไป
เจ้ามาจากไหน ?”
ผมมาจากกรุงเทพมหานคร
ช่วยขยายความด้วย
ซักอยู่ได้เจ้านกนี่เด็กหนุ่มคิด
ก็เมืองหลวงของประเทศไทย
ขอกวนหน่อยก็แล้วกัน
แค่นั้นเหรอ
ซึ่งอยู่ในทวีปเอเชียเด็กหนุ่มตอบพลางยิ้มเยาะคู่กรณีตรงหน้าอย่างไมเกรงกลัว ทำให้อีกฝ่ายจ้องเขาเขม็ง
นี่เจ้าหนู รู้ไหมว่าที่ข้าถามเจ้าน่ะ..
ช่างปัญญาอ่อนเสียนี่กระไรเชลยศึกแมวดำต่อให้จนจบประโยค พลางทำท่าหาวอีกรอบโดยไม่เกรงกลัวต่อคมมีดของทหารนกกระจอกนายหนึ่งที่จี้ใส่คอของตัวเอง
แทนที่จะอธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้คนตรงหน้าเข้าใจให้กระจ่าง แล้วค่อยหาทางแก้ไขปัญหาเรื่องผู้บุกรุก กลับเอาแต่ถามคำถามไร้สาระที่เจ้าตัวคงไม่อาจจะตอบไปได้มากกว่านี้ พวกนกนี่นะ
นั่นมันไม่ใช่เรื่องของแกเวสป้าตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา
แต่ผมเห็นด้วยนะคำพูดของเด็กหนุ่มทำให้นกกางเขนดงตรงหน้าเลิกคิ้วขึ้น คุณถามผมมามากแล้ว ได้เวลาที่คุณจะต้องตอบคำถามของผมบ้าง
ทำไมข้าจะต้องตอบคำถามของเจ้าด้วยล่ะ เจ้าหนู
         
หัดดูสถานการณ์บ้างนะเจ้าหนู เจ้าอยู่ตัวคนเดียว ส่วนข้ามีลูกน้องอยู่ตั้งหลายคน การจะจัดการให้เจ้าหายตัวไปน่ะ ง่ายยิ่งกว่าจับแมลงเข้าปากเสียอีก
เด็กหนุ่มถึงกับนิ่งไปกับคำขู่เข็ญนั้น แต่สุดท้ายเขาก็หลุดขำออกมา
หัวเราะอะไรนกกางเขนดงทำหน้าไม่พอใจที่เด็กหนุ่มตรงหน้าไม่เกรงกลัวเขาเลย
ก็คำพูดตอนท้ายไง สุภาษิตของพวกนกนี่ช่างคล้ายสำนวนไทยเลย แค่ดัดแปลงให้เข้ากับอาหารของนกก็เท่านั้น
ไม่ใช่เรื่องของพวกคุณหรอกเด็กหนุ่มกลับมาทำหน้าจริงจังเหมือนเดิม
เอาล่ะถ้าพวกคุณไม่บอกผมมาดี ๆ ว่าพวกคุณเป็นใครล่ะก็ เตรียมตัวเข้าไปนอนในมุ้งสายบัวได้เลยว่าแล้วเด็กหนุ่มก็กดหมายเลข ๑๙๑ อย่างรวดเร็ว ทว่า
อ้าว ! ทำไมไม่มีสัญญาณล่ะเนี่ย เด็กหนุ่มหน้าเจื่อน ในขณะที่นกเขาชวาและทหารนกกระจอกยิ้มเยาะกับความพยายามอันไร้ผล
โทรศัพท์ของเจ้าใช้ที่นี่ไม่ได้หรอกเสียงสำทับของนกกางเขนดงทำให้เด็กหนุ่มรู้ตัวกำลังจะซวยเสียแล้ว เขายังไม่เห็นหนทางที่จะเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้ไปได้เลย
พวกคุณเป็นใครกันแน่ และที่นี่ที่ไหน ?” เด็กหนุ่มเริ่มโวย
อยากรู้มากนักรึเมื่อเด็กหนุ่มพยักหน้า เวสป้าจึงเฉลยข้อสงสัยดังกล่าว
จะบอกให้ก็ได้ พวกเราคือเหล่าทหารวิหคแห่งเบิร์ดโดวิงกา ข้า นาวาอากาศเอกลุฟต์ เวสป้า ผู้บัญชาการกองกำลังวิหควายุ และเป็นแม่ทัพของฐานทัพลับแห่งนี้ ส่วนเจ้าก็คือผู้บุกรุกเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต เพราะฉะนั้น พวกเราจะเอาตัวเจ้าออกไปจากฐานทัพแห่งนี้ เข้าใจไหม
เด็กหนุ่มนิ่งไปก่อนที่จะพยักหน้ารับ
อ้อผมเข้าใจแล้ว
ถ้าอย่างนั้นก็ดี ข้าจะได้...ยังไม่จบประโยคดี เด็กหนุ่มก็ขัดขึ้นมา
เดี๋ยวก่อน
อะไรอีกล่ะ ?” นกกางเขนดงทำหน้ารำคาญเด็กหนุ่มตรงหน้าเต็มที
ผมขอคุยกับผู้กำกับหน่อยได้ไหม ?”
ผู้กำกับอะไร ?” เวสป้าทำสีหน้าฉงน
ก็ผู้กำกับภาพยนตร์ไงล่ะครับ
ภาพยนตร์อะไร ?” เวสป้ายังคงไม่เข้าใจสิ่งที่เด็กหนุ่มต้องการสื่อ
ก็ภาพยนตร์ที่พวกคุณแสดงอยู่นี่ไงเล่ากล้าต้องขึ้นเสียงอีกแล้ว
พูดอะไรไม่เห็นรู้เรื่อง
ฟังให้ดีนะ ตอนแรกผมก็งงเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่พอฟังที่คุณพูดออกมาเมื่อกี้ผมจึงเข้าใจสถานการณ์เลยว่า พวกคุณกำลังแสดงภาพยนตร์อยู่เรื่องที่เกี่ยวกับสงครามอวกาศระหว่างนกกับแมวนี่แหละ แล้วเผอิญผมเข้ามาขัดจังหวะ แต่พวกคุณคิดจะแกล้งให้ผมตกใจเล่น จึงทำเนียนแสดงต่อไปโดยไม่ให้เสียเวลาตัดต่อ ทำให้ผมหลงคิดไปว่ามาเจอกับสถานการณ์ประหลาด และเจอตัวประหลาดเข้าให้แล้ว ผมต้องยอมรับเลยนะครับว่าสมจริงมากเลย แต่ตอนนี้การแสดงของพวกคุณจบแล้ว ผมคงต้องขอตัวกลับแล้ว
เวสป้าอึ้งไปชั่วขณะกับคำอธิบายของเด็กหนุ่ม
มั่วแล้วเจ้าหนู ไม่มีการแสดงอะไรทั้งสิ้นในที่สุดผู้บัญชาการของเหล่าวิหคก็ตอบกลับ
เอาเถอะจะอย่างไรก็ช่าง ผมไปได้หรือยัง
ไม่ได้ เจ้าจะต้องอยู่กับพวกเราก่อน ชแปร์โรว
ขอรับ จุ๊กกรู
พาเจ้าเด็กนี่ไปที่ห้อง เฮ้!
เด็กหนุ่มเห็นประตูเปิดที่อยู่ด้านหลังนกกางเขนดงเปิดออกมาพอดี จึงถือโอกาสผลักนกเขาชวาที่อยู่ด้านข้างตัวเขาให้ไปชนกับนกกางเขนดงตรงหน้าอย่างแรงก่อนจะรีบวิ่งไปที่ประตู 
วิ้วพลั่ก!
เด็กหนุ่มกลับมานั่งก้นจ้ำเบ้าที่พื้นอีกครั้ง เมื่ออยู่ ๆ ก็มีลมแรงดูดเขากลับเข้ามาในห้อง และยังไม่ทันที่เขาจะร้อง แรงลมก็ดีดตัวเขาให้ลอยขึ้นจากพื้น เด็กหนุ่มเห็นผู้บัญชาการของเหล่าวิหคยกมือขึ้นข้างซ้ายชี้มาที่ตัวเขา ดวงตาทั้งสองข้างของนกกางเขนดงเต็มไปด้วยประกายแห่งโทสะ
อย่าบอกนะว่านี่เป็นฝีมือของคุณ
ผู้บัญชาการฐานทัพตอบรับด้วยการสะบัดมือไปด้านหลังอย่างแรง เด็กหนุ่มก็ลอยตามแรงลมออกนอกห้องไป ผ่านทางเดินที่ยาว ก่อนจะหยุดอยู่ห่างจากกระจกเพียงแค่ไม่กี่เซนติเมตร
ฟู่วเกือบไปแล้วไหมล่ะ เด็กหนุ่มแทบจะยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่อยู่ ๆ ก็ไหลมาจากหน้าผาก
นี่มันเด็กหนุ่มอุทาน ภาพที่ปรากฏตรงหน้าทำให้เขาตื่นตะลึง
ภูเขาสูงเสียดฟ้าทะลุผ่านก้อนเมฆสีรุ้งจำนวนมาก เป็นภาพที่งดงามและดูอัศจรรย์ ในขณะที่เมื่อเหลือบตามองลงไปข้างล่างก็พบกับผืนป่าสีเขียวแกมน้ำเงิน สลับด้วยแหล่งน้ำสีเทาซึ่งสะท้อนแสงอาทิตย์ออกมา มองอย่างไรที่นี่ก็ไม่ใช่สวนสนุกที่เขามาเที่ยวแน่นอน ไม่น่าจะใช่สถานที่ใดที่หนึ่ง และไม่น่าจะใช่ในโลกมนุษย์ด้วย เด็กหนุ่มพยายามจะเพ่งมองอีกครั้ง แต่แล้วตัวเขาก็ถูกลมดูดให้กลับมาในห้องเป็นครั้งที่สอง และเผชิญหน้ากับนกที่ทำให้เขาต้องตัวลอยอีกครั้ง ทั้งสองจ้องหน้าตากันอยู่สักพัก ก่อนที่นกการเขนดงจะสะบัดมือลงล่าง ทำให้ลมที่พยุงเด็กหนุ่มไว้สลายตัวไป โชคดีที่คราวนี้เท้าทั้งสองข้างของเขาแตะพื้นห้องอย่างนุ่มนวล เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองนกกางเขนดงตัวโตซึ่งได้ออกคำสั่งกับเขาทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้นว่า
"คราวหลังอย่าได้พยายามหนีอีก นี่ไม่ใช่สถานที่ที่จะเดินเล่นนะ จำเอาไว้"
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ ก่อนที่จะตัดสินใจพูดเรื่องที่คิดออกมา
พวกคุณเป็น เอ่อ มนุษย์ต่างดาว จริง ๆ เหรอเด็กหนุ่มต้องการคำตอบที่มั่นใจได้จากนกตรงหน้า
ภาพที่เจ้าเห็นข้างนอกยังไม่ชัดเจนอีกหรือไง ฮึผู้บัญชาการฐานทัพลดมือทั้งสองข้างลงแล้ว
แบบว่า ผมไม่ได้ฝันไปสินะเด็กหนุ่มยังไม่รู้จะพูดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งรับรู้อย่างไรดี
และก็ไม่ได้เป็นการแสดงด้วยเวสป้าพูดเสริม
พวกคุณเป็นทหารวิหค ที่นี่เป็นฐานทัพของพวกคุณ และอยู่ ๆ ผมก็มาอยู่ในฐานทัพของพวกคุณในเวลาที่พวกคุณสอบปากคำเชลยศึกอยู่
ก็อย่างที่พูดนั่นแหละ
แล้วไม่ทราบว่าผมจะกลับบ้านอย่างไรล่ะครับเด็กหนุ่มชักไม่อยากจะอยู่ที่นี่เสียแล้ว เขาเริ่มเป็นห่วงเพื่อนที่มาเที่ยวด้วยกันว่าจะสาละวนแค่ไหนที่เขาหายตัวไป และถ้าคุณพ่อคุณแม่รู้ว่าเขามาอยู่ในสถานที่ไกลโพ้นไม่รู้ทางหรือวิธีที่จะกลับไปที่บ้านแล้ว จะทำอย่างไร เขาไม่ต้องการจะทำตัวเป็นภาระให้คนอื่นต้องเดือดร้อน
บอกที่อยู่มาสิขอรับ แล้วพวกข้าจะส่งเจ้ากลับไป จุ๊กกรูผู้พันนกเขาพูดจาดีกับเด็กหนุ่มเป็นครั้งแรก 
เอ่อ ! ช่วยส่งผมไปที่สวนสนุก xxx ได้ไหม
ตอบมาแค่นี้ไม่ได้ช่วยให้หาพิกัดเจอเลยนะขอรับ จุ๊กกรู
ถ้าอย่างนั้น ส่งผมกลับไปที่บ้านที่กรุงเทพก็ได้นะ บ้านผมเลขที่
บอกแบบนั้น พวกข้าไม่รู้หรอกขอรับ จุ๊กกรู ต้องบอกพิกัดที่แน่นอนออกมา
ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนี่ว่าบ้านผม ซอยผม อยู่พิกัดไหน ผมไม่ได้เก่งภูมิศาสตร์สักหน่อยเด็กหนุ่มโวยอีกรอบ
อะไรกัน จำพิกัดของบ้านหลังนั้นไม่ได้หรือไงเชลยแมวดำโพล่งขึ้นมาอีกแล้ว
ผู้บัญชาการฐานทัพส่ายหน้า ข้าไม่ได้เข้าไปในบ้านซะหน่อย เจ้าพาเขาเข้าไปเองไม่ใช่รึ
แต่อย่างน้อยก็อยู่ในซอยนั้นนี่นาแมวดำยังคงพูดต่อ
พูดเรื่องอะไรกันน่ะ เด็กหนุ่มทำหน้างง ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ทำให้เด็กหนุ่มหันไปเพ่งมองแมวดำอย่างละเอียด ก่อนจะพบว่าเจ้าแมวตัวนี้ช่างมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับแมวในฝันที่ช่วยเขาไว้จากกลุ่มอันธพาลเหลือเกิน หรือว่า
ว่าแต่เจ้าหนู แผลหายดีหรือยังแมวดำหันมาพูดกับเขา
ให้ตายเถอะ นี่มันเรื่องจริงหรือนี่!


วันพุธที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2559

แคทเทิน ๑ ของขวัญ


ของขวัญ

“ตื๊ด! ตื้ด! ขออภัยค่ะไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก Sorry the numer…
หญิงวัยกลางคนวางหูโทรศัพท์ลงก่อนที่จะยกหูโทรศัพท์ขึ้นอีกรอบแล้วกดหมายเลขที่ต้องการติดต่อไปอีกครั้ง
“นี่แม่ เลิกโทรได้แล้ว จะโทรอีกสักกี่รอบก็เหมือนกันนั่นแหละ” ชายผู้เป็นสามีของเธอบอกอย่างรำคาญ
“ก็นี่มันเกือบเที่ยงคืนแล้ว กล้ายังไม่กลับบ้านเลย ฉันก็กลัวว่าลูกจะเป็นอะไรหรือเปล่า ยิ่งช่วงนี้มีข่าวปล้นชิงทรัพย์กันบ่อยด้วย คุณไม่ห่วงลูกบ้างเหรอ ?” ภรรยาหันไปมองสามีซึ่งกำลังนั่งดูรายการข่าวอยู่ที่โซฟา
“ไม่ต้องห่วงหรอก กล้าไปดูหนังกับเพื่อน ยังไงเพื่อนก็มาส่งให้ถึงหน้าบ้านอยู่แล้ว แล้วกล้าก็ไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนะ พรุ่งนี้ก็อายุครบสิบหกปีแล้ว แถมยังเคยฝึกมวยไทยมาด้วย อีกอย่างแม่ก็รู้นี่ว่ากล้านิสัยอย่างไร” สามีกล่าวปลอบใจ
“ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี เกิดเป็นอะไรไป ฉันจะทำอย่างไร แล้วไม่รู้ว่าตอนนี้เก่งปลอดภัยดีหรือเปล่า” ผู้เป็นภรรยายังไม่กังวลใจไม่เลิก สามีจึงลุกขึ้นมาโอบไหล่ของภรรยาไว้
“ไม่ต้องกังวลหรอก พ่อมั่นใจว่าลูกของพวกเราจะไม่เป็นอะไร มีผู้กองเดชคอยดูแลอยู่ แม่เลิกกังวลได้แล้วนะ” สามีบีบไหล่ภรรยาเบา ๆ พร้อมยิ้มให้เธอ ภรรยาเห็นดังนั้นก็มีสีหน้าที่ผ่อนคลายขึ้น
“ข่าวต่อไป ทางรัฐบาลสหรัฐฯ หารือกับสหภาพยุโรปเรื่องการส่งทหารหน่วยรบพิเศษไปปฏิบัติการภาคพื้นดินเพื่อยับยั้งการรุกคืบของกลุ่ม IS ในขณะที่รัฐบาลรัสเซียเพิ่มเที่ยวบินโจมตีทางอากาศต่อกลุ่ม IS...”
“แม่ว่าโลกนี้ชักจะอยู่ยากขึ้นไปทุกทีไหม ทั้งโลกร้อน ก่อการร้าย ภัยสงครามทำท่าจะปะทุขึ้นมาพร้อมกัน พ่อล่ะห่วงจริง ๆ ว่า สังคมจะไม่สงบ โอ๊ย! แม่หยิกหูพ่อทำไม ?” สามีพยายามแกะมือภรรยาที่หยิกหูซ้ายของเขาอยู่
“ทีลูกตัวเองไม่ห่วง ทำเป็นห่วงโลก โดนสักทีก็แล้วกัน นี่แนะ ” ภรรยาออกแรงหยิกมาขึ้น
“แม่ก็ พ่อแค่ต้องการเบี่ยงประเด็นเรื่องลูกให้แม่หายกังวลใจเท่านั้น โอ๊ย ! เจ็บนะแม่” ฝ่ายภรรยาเมื่อได้ยินคำตอบของสามีก็ยิ่งออกแรงหยิกหูใหญ่

*****

หลังจากดูหนังกับเพื่อนฝูงจบแล้ว เด็กหนุ่มมัธยมปลายคนหนึ่งนามว่าซึ่งมีชื่อเล่นว่า กล้าก็แยกย้ายกับเพื่อนเดินกลับเข้าซอยบ้านของตน ถึงแม้ว่าบ้านของเขาจะอยู่เกือบสุดซอย เด็กหนุ่มก็ไม่กังวลใจเนื่องจากเคยเดินกลับบ้านคนเดียวมาแล้วอย่างปลอดภัย แต่คราวนี้ทุกอย่างไม่ได้เรียบร้อยเหมือนคราวก่อน ๆ เพราะว่าตอนนี้เขาถูกชายฉกรรจ์สามคนรุมล้อมอยู่
ชิ! เจอโจทก์เก่าซะได้
ชายทั้งสามคนนี้เป็นสมาชิกของกลุ่มเด็กแว้นที่ขี่จักรยานยนต์แข่งกันในยามดึก ส่งเสียงดังสร้างรำคาญให้กับชาวบ้านแถวนี้ไม่ได้หลับนอนกัน แต่ตำรวจก็ไม่เคยจับได้จนกระทั่งมีพลเมืองดีแอบบันทึกวิดีโอส่งให้ตำรวจแล้วประสานงานให้มีการจับกุมพวกเด็กแว้นทั้งหมดได้ โดยตำรวจยังได้พบว่าหัวโจกของเด็กแว้นกลุ่มนี้เป็นพวกค้ายาเสพติดอีกด้วย
พลเมืองดีที่ว่าก็คือกล้านั่นเอง เขาได้รับความชื่นชมจากผู้คนในละแวกนั้นมาก แต่ครอบครัวของกล้าต้องการให้ปิดเรื่องนี้ไว้ก็เพื่อความปลอดภัยของพวกเขาเอง อย่างไรก็ตาม พวกเด็กแว้นบางส่วนก็จำหน้าเขาได้และมุ่งหมายจะคิดบัญชีกับเขาอย่างเช่นเจ้าสามคนตรงหน้านี้
“ไง! สบายดีไหม?” กล้าถามด้วยน้ำเสียงกวนประสาท
เจ้าหัวหน้ากลุ่มยิ้มก่อนจะเดินเข้ามาประชิดเขา ส่วนอีกสองคนเข้ามาข้างหลังกันไม่ให้เด็กหนุ่มหลบหนี
“นั่นน่าจะเป็นคำถามของอั๊วะมากกว่านะ เจ้าหนู” คำกล่าวนั้นทำให้กล้าคิ้วกระตุก เขาไม่ชอบที่ใครมาเรียกเขาอย่างนั้น
“รู้ไหมว่าลูกรักของอั๊วะราคาตั้งแปดแสนบาท เครื่องแรง วิ่งดีไม่มีสะดุด อั๊วะรักมาก แต่...” เจ้านั่นยื่นหน้าเข้ามาใกล้เด็กหนุ่ม
“แต่ตอนนี้ลูกรักของอั๊วะถูกทางราชการยึดไว้แล้ว อั๊วะเสียใจมากที่ต้องเสียลูกรักไป” เจ้านั่นทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
“แล้วต้องการอะไร ?” กล้าถาม
“ก็ต้องการให้ลื้อชดใช้ไง” เจ้านั่นพูดพลางชำเลืองมองมาทางกระเป๋าเป้ด้านหลังของเขา ทำให้เด็กหนุ่มใช้มือกระชับกระเป๋าเป้ของเขาไว้แน่น
“ในนี้มีแค่หนังสือเรียน และอุปกรณ์การเรียน นายไม่อยากได้หรอก” กล้าตอบด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้เป็นปกติที่สุด
“มีแค่นั้นจริงเหรอ?” เจ้าหัวหน้ากลุ่มถาม และโดยไม่ต้องรอให้ลูกพี่ออกคำสั่ง ลูกน้องคนหนึ่งก็กระชากกระเป๋าเป้ของเด็กหนุ่มออกจากไหล่ ส่วนอีกคนควักเอามีดสปริงออกมากรีดกระเป๋าเป้จนขาด ก่อนจะเทสิ่งของที่อยู่ภายในออกมาบนพื้น
“กล่องของขวัญนี่นา” เจ้านักเลงโตหยิบกล่องของขวัญที่ห่อด้วยกระดาษสีฟ้าและผูกโบว์สีเขียวสดขึ้นมาก่อนจะฉีกกระดาษออก แล้วแกะกล่องออกมา
“เสื้อเชิ๊ตนี่ แล้วนี่” เจ้าหัวโจกหยิบการ์ดอวยพรขึ้นมาอ่านด้วยน้ำเสียงกวนประสาท
“สุขสันต์วันเกิด ขอให้มีความสุขมาก ๆ นะกล้า จากฝน ใครน่ะ! แฟนแกเหรอ ขอได้ป่ะ” พูดจบเด็กแว้นทั้งสามคนก็หัวเราะเสียงดังลั่น “ฉันขอก็แล้วกัน อืมใส่ได้พอดีตัวเลย” เจ้าหัวโจกสวมเสื้อตัวดังกล่าวเสร็จ ยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดน้ำมูก ก่อนที่จะก้าวเท้าเข้าไปหาเด็กหนุ่ม และใช้มือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของเด็กหนุ่ม
Samsung รุ่นล่าสุดซะด้วย ราคาแพงน่าดู” แล้วเสียงมือถือตกพื้นก็ดังขึ้น “อุ๊บ! มือมันลื่น ทำไงดีล่ะเนี่ย !” เจ้าหัวโจกพูดเสร็จก็ยกเท้ากระทืบโทรศัพท์อีกสามรอบ
“ว้า ! สงสัยจะพังซะแล้วแฮะ” เจ้าหัวโจกหันหน้ามาพูดกับเด็กหนุ่มอย่างกวน ๆ ก่อนจะเข้ามากระชากเสื้อของเด็กหนุ่ม และชะโงกหน้ามาเข้าใกล้เขา
“ทีนี้มึงคงเข้าใจแล้วนะว่าการสูญเสียของรักของหวง มันเจ็บปวดขนาดไหน โอ๊ย!” เจ้าหัวโจกสะดุ้งถอยหลังไปห้าก้าว มือที่จับคอเสื้อของเด็กหนุ่มอยู่ถูกเลื่อนลงมาปิดจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่เพิ่งจะถูกโจมตีเข้าอย่างจัง
“อู้ว! การสูญเสียของรักของหวงของตนมันเจ็บปวดแบบนี้นี่เอง” เด็กหนุ่มยิ้มเยาะอย่างสะใจ ท่าเตะผ่าหมากของเขายังคงให้ผลได้อย่างดีเยี่ยม
“ไอ้เด็กเวร!” เจ้าหัวโจกพุ่งเข้าหาเด็กหนุ่ม แต่เขาแค่เบี่ยงตัวหลบก่อนจะปล่อยหมัดสวนไปที่สีข้างของเจ้าหัวหน้าอันธพาล
“อุ๊บ!” เสียงร้องของเจ้านั่นบอกถึงความแรงของหมัดได้เป็นอย่างดี โดยไม่รอช้า เด็กหนุ่มเตะซ้ำเข้าไปที่ชายโครงอีกทีหนึ่ง เจ้าหัวโจกกัดฟันกรอด มันพยายามที่จะต่อยเขาให้ได้ แต่เด็กหนุ่มก็กันหมัดที่พุ่งเข้ามาแล้วสวนด้วยการกระโดดเตะคางของคู่ต่อสู้จนมันล้มลงกับพื้น เอามือจับคางไว้
ฉึก !
ความเจ็บปวดบริเวณต้นแขนขวาเกือบจะทำให้เด็กหนุ่มร้องออกมาอยู่แล้ว แต่เขาก็กัดฟันทน ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับผู้สร้างบาดแผลให้เขาได้ เจ้าคนที่ใช้มีดกรีดกระเป๋านักเรียนของเขายกมีดที่เปื้อนเลือดชี้มาที่เขา
เด็กหนุ่มจรดมวยเตรียมรับการโจมตี แต่เจ้าเด็กแว้นคนที่สามก็เข้ามารวบตัวเขาจากข้างหลัง กล้าพยายามที่จะใช้ศอกถองเข้าไปแต่ไม่เป็นผล ในขณะที่เจ้าคนถือมีดก็พร้อมที่จะเข้ามากะซวกเขาทุกเมื่อ
“กูจัดการมันเอง” เจ้าหัวโจกฟื้นตัวแล้ว และมันก็เดินเข้ามาแย่งมีดมาจากมือของลูกน้อง
“มึงเก่งนักใช่ไหม!” เจ้านั่นชี้ปลายมีดมาที่เด็กหนุ่ม ก่อนที่จะจัดการเขา
ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ!
โดนหมัดลุ่น ๆ เข้าไปเต็มท้องสามที เด็กหนุ่มก็ตัวงอ โดยที่ไม่อาจจะใช้มือกุมท้องตัวเองได้ เนื่องจากแขนทั้งสองข้างถูกลูกน้องทั้งสองของเจ้าคนที่ต่อยเขายึดเอาไว้แน่น เป็นผลให้เด็กหนุ่มต้องกลายเป็นกระสอบทรายให้เจ้าเด็กแว้นเล่นงานเขาไปอีกหลายหมัด จนเด็กหนุ่มหน้าบวมช้ำ
ผัวะ! เจ้าหัวโจกหมุนตัวเตะเข้าไปที่ท้องของเด็กหนุ่มเต็มแรง ส่งผลให้เขาทรุดตัวลง เจ้าลูกน้องสองคนนั่นก็ปล่อยแขนเขาพอดี
“ทีนี้ เอาไงดี” เจ้าหัวโจกกระชากผมเด็กหนุ่มให้เงยหน้าขึ้นมอง เด็กหนุ่มจึงได้ทีพ่นเลือดออกจากปากไปติดหน้ามันพอดี เจ้านั่นใช้แขนเช็ดเลือดที่เด็กหนุ่มพ่นมาก่อนจะเงื้อมีดขึ้น
“กะซวกซักเจ็ดทีก็แล้วกัน” แต่แล้วเจ้าอันธพาลนั่นก็ปล่อยมีดตกพื้น
“โอ๊ย! มึงเตะกูทำไมวะ” เจ้าหัวโจกรีบจับมือข้างที่เคยถือมีดมาก่อน
“ผมเปล่านะลูกพี่” เจ้าลูกน้องคนที่เป็นเจ้าของมีดปฏิเสธ เจ้าหัวโจกจึงหันไปมองหน้าลูกน้องอีกคน แต่เจ้านั่นก็รีบปฏิเสธ เด็กหนุ่มเห็นเป็นโอกาสดี จึงเอื้อมมือจะไปหยิบมีดที่ตกอยู่ แต่ก็มือข้างนั้นก็ถูกกระทืบอย่างแรงจนเด็กหนุ่มต้องร้องออกมา
“อย่าได้คิดเป็นอันขาด” เจ้าหัวโจกยิ้มเหี้ยมก่อนจะใช้เท้าข้างที่เหยียบมือของเด็กหนุ่มอยู่ขยี้มือเขาไปมา
ผัวะ! เจ้าหัวโจกเอามือกุมหัวของตัวเอง
“ต่อยกูทำไมวะไอ้บัดซบ!” เจ้าหัวโจกหันไปกระชากเสื้อของลูกน้องคนหนึ่ง
“ผมไม่ได้ทำนะลูกพี่” เจ้านั่นละล่ำละลักปฏิเสธ
“แล้วหมาที่ไหนทำวะ!” เจ้าหัวโจกยังคงเดือดดาลอยู่
“ข้าเป็นคนทำเอง” เสียงเย็นยะเยือกดังขึ้น หลังจากนั้นไฟทุกดวงในซอยก็ดับหมด สายลมที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนพัดเสียงดังหวีดหวิว
“นั่นใครวะ!” เจ้าหัวโจกตะโกนถาม พร้อมกับพยายามสอดส่ายสายตาหาเจ้าของเสียงปริศนา
ผัวะ! ผัวะ! แทนคำตอบ เจ้าลูกน้องสองคนที่ยืนอยู่ข้างลูกพี่ก็สลบเหมือดจากการจู่โจมล่องหน เจ้าหัวโจกอ้าปากค้าง
“มึงเป็นใครวะ และต้องการอะไร” เจ้าหัวโจกเริ่มขวัญเสีย มันหันไปมองไปรอบ ๆ
วี้ว! วี้ว!
“นี่มันอะไรกันวะ!” เจ้าอันธพาลร้องเหวอ เมื่อจู่ ๆ ก็มีลมหมุนมาล้อมรอบตัวเขาและลูกน้องที่สลบเพิ่งจะสลบไป แถมลมนั้นยังพัดแรงขึ้นเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ จนเจ้าอันธพาลและลูกน้องของมันตัวลอยขึ้นจากพื้นดิน
“ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยด้วย!” เจ้านั่นร้องลั่น แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรลมหมุนนั้นพัดพาเอาตัวอันธพาลทั้งสามคนขึ้นไปบนฟ้าจนหายลับไปจากสายตาของเด็กหนุ่มที่มองเห็นเหตุการณ์โดยตลอด หลังจากงุนงงอยู่สักพักใหญ่ เด็กหนุ่มก็คิดได้ว่าจะต้องรีบกลับบ้าน จึงพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้น แต่พอลุกขึ้นได้ก็ขาสั่นและคงจะล้มลงไปอีกครั้งแน่ถ้าไม่มีคนเข้ามาช่วยพยุงเขาเอาไว้
“อย่าเพิ่งขยับนะ เดี๋ยวขอดูแผลหน่อย” คนที่ช่วยพยุงเขาเอาไว้กระซิบบอก
“ขอบคุณนะครับ แต่ผมไม่เป็นอะไรมากหรอก เฮ้ย! เหวอ!” เด็กหนุ่มตะโกนออกมาทันทีที่เห็นหน้าของคนที่ช่วยเหลือตนเอาไว้ พลางสะดุ้งถอยหนี
มะ มะ   แมว มะ มะ มะ แมว มะ มะ มะ มะ แมว    แมวยักษ์!!!” เด็กหนุ่มร้องเสียงดัง ทำให้เจ้าแมวยักษ์ที่ว่าหงุดหงิด
ก็บอกว่าอย่าเพิ่งขยับไงเล่าผัวะ! ไม่ทันขาดคำ เด็กหนุ่มก็รู้สึกถึงแรงกระแทกเข้าที่ท้ายทอยจนทำให้เขาล้มลงทันที
“โอย อูย!” เด็กหนุ่มเอามือกุมท้ายทอยของตัวเองไว้
“วันนี้ดวงซวยจริง ๆ หือ!” เมื่อลืมตาขึ้น ภาพที่เห็นเบื้องหน้าก็ทำให้เด็กหนุ่มลืมความเจ็บปวดของตนไปชั่วขณะ เอ่อ! นี่มันห้องนอนของเขานี่นา
“อะไรกันนี่ จำได้ว่าเราถูกพวกอันธพาลทำร้ายนี่นา” เด็กหนุ่มลองมองไปรอบ ๆ ตัวอีกครั้งหนึ่ง จนแน่ใจว่าเขาไม่ได้ตาฝาดไป เขาอยู่ในห้องนอนของตัวเองจริง ๆ เด็กหนุ่มลองสำรวจร่างกายของตัวเองก็พบว่านอกจากหัวที่เจ็บแล้ว ก็ไม่มีร่องรอยของบาดแผลจากการต่อสู้แต่อย่างใด นั่นทำให้เด็กหนุ่มงงอยู่พักใหญ่
เอ! มันเกิดอะไรขึ้นนะ
มีอันธพาลสามคนเข้ามาหาเรื่องเรา กรีดกระเป๋านักเรียนของเขา แย่งของขวัญที่เพื่อนให้มา ทำลายโทรศัพท์มือถือของเขา สู้กับเขา แล้วก็รุมทำร้ายเขา ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น มีลมพัดเอาเจ้าอันธพาลทั้งสามคนลอยขึ้นฟ้า และก็มีคนเข้ามาช่วยเขา เอ่อ! ไม่ใช่สิ ที่ช่วยเขาน่ะ มันแมวมากกว่า แล้วเขาก็ถูกทุบที่หัว ก่อนจะพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงนอนในห้องนอนที่บ้านของเขาเอง แบบนี้ มีความเป็นไปได้ทางเดียวเท่านั้น
“เราฝันไปนี่เอง” เด็กหนุ่มได้ข้อสรุปแล้ว เขาคงสนุกกับการดูหนังมากเกินไปจึงเก็บมาฝัน และก็นอนดิ้นจนหัวไปกระแทกกับขอบเตียงนอนเข้า เลยสะดุ้งตื่น ก็แค่นั้นเอง คิดได้ดังนั้นเขาก็ลองหันไปมองที่โต๊ะข้างเตียง กล่องของขวัญสีฟ้าที่ประดับด้วยโบว์สีเขียวสดวางอยู่บนโต๊ะตัวนั้น เขาเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมาดูก่อนจะหยิบการ์ดอวยพรที่แปะอยู่บนกล่องของขวัญมาอ่าน
สุขสันต์วันเกิด ขอให้มีความสุขมาก ๆ นะกล้า จากฝน
อืม เขาฝันไปจริง ๆ นั่นแหละ เด็กหนุ่มคิดพลางแกะกล่องของขวัญออกอย่างระมัดระวัง ไม่ให้กระดาษห่อของขวัญฉีกขาด จะได้นำกระดาษนั้นไปใช้ในการห่อของขวัญอื่นต่อไป เป็นการประหยัดไปในตัว ส่วนตัวกล่องก็สามารถนำไปใช้ในการใส่ของขวัญได้เหมือนกัน
พอดีตัวเลยแฮะ เด็กหนุ่มคิดในขณะที่ลองใส่เสื้อเชิ้ตที่ได้เป็นของขวัญวันเกิดจากเพื่อนร่วมห้อง เขาลองส่องกระจกเงาที่อยู่ในห้องน้ำดู และรู้สึกว่าเสื้อที่ได้มาเหมาะกับเขามาก ขนาดก็กำลังดี สีสันลวดลายก็ไม่จัดจ้านหรือหวานแหววเกินไป และก็ไม่ได้มีสีหม่นชวนให้หดหู่
“ยังเจ็บอยู่เลยแฮะ” เด็กหนุ่มครางพลางใช้มือหัวที่มีรอยแดงอยู่ และก็คงจะทำเช่นนั้นไปอีกสักพัก ถ้าไม่ยินเสียงเรียกของพ่อเขาเสียก่อน
“กล้า ลงมาได้แล้วลูก อาหารเช้าพร้อมแล้ว”
“รอสักครู่นะครับคุณพ่อ” เด็กหนุ่มตะโกนตอบกลับไป ก่อนจะหันไปมองตัวเองในกระจกอีกครั้ง
“วันเกิดทั้งทีต้องมาเจ็บตัวกันตั้งแต่เช้า ได้ทั้งโชค ได้ทั้งเคราะห์เลยแฮะเรา” พูดกับตัวเองเสร็จเด็กหนุ่มก็จัดการล้างหน้า แปรงฟัน และอาบน้ำอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนเครื่องแต่งตัว หวีผม และลงไปข้างล่าง
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณแม่” เด็กหนุ่มทักทายแม่ของตนที่กำลังจัดเตรียมอาหารเช้าบนโต๊ะในห้องอาหารอยู่ แต่คนเป็นแม่ไม่แม้แต่จะหันมามองลูกของตัวเอง อาการแบบนี้ทำให้เด็กหนุ่มรู้ตัว เขาจึงยกมือไหว้ผู้ให้กำเนิดก่อนจะพูดว่า
“ผมขอโทษนะครับคุณแม่ที่เมื่อคืนกลับดึกไปหน่อย” ถึงจะกล่าวขอโทษอย่างรู้สำนึกแล้ว แต่คนเป็นแม่ก็ยังคงไม่หันหน้ามาอยู่ดี
“และผมขอโทษที่ตะโกนเสียงดังครับ” เด็กหนุ่มตอบเพิ่มเติม
“ทีหลังก็อย่าทำอีกนะ สุขสันต์วันเกิดจ๊ะลูก” ผู้เป็นแม่หันมายิ้มให้เขาในที่สุด
“สุขสันต์วันเกิดเหมือนกัน” คนเป็นพ่อเดินเข้ามานั่งที่หัวโต๊ะ ก่อนที่ทั้งสามคนจะนั่งรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน
กิ๊งก่อง! กิ๊งก่อง!
เสียงออดดังขึ้นในขณะที่ทั้งสามคนยังกินอาหารไม่เสร็จ คนเป็นพ่อจึงชะเง้อดูผ่านทางหน้าต่างจึงได้เห็นบุรุษไปรษณีย์กำลังส่งจดหมายอยู่
“เดี๋ยวพ่อออกไปรับเอง” พูดจบคนเป็นพ่อก็ลุกออกไปข้างนอก หลังจากนั้นก็กลับมาพร้อมกับจดหมายห้าฉบับ ไปรษณียบัตรหนึ่งใบและไปรษณีย์ภัณฑ์ลงทะเบียนอีกสามกล่อง
“เอ้า! นี่ของแม่” หัวหน้าครอบครัวยื่นจดหมายที่จ่าหน้าซองถึง “นภา สันติธรรม” ให้คนเป็นคู่ชีวิตของตน ก่อนจะหันไปทางลูกชายและยื่นไปรษณียภัณฑ์ ไปรษณียบัตรและจดหมายที่จ่าหน้าถึง “แกล้วกล้า สันติธรรม” และสุดท้ายตัวเองก็แกะจดหมายที่จ่าหน้าซองถึง “ธนา สันติธรรม” ออกมาอ่าน
“กินให้เสร็จก่อนลูกแล้วค่อยมาดูของขวัญกัน” คุณพ่อกล่าวเตือนลูกชายใจร้อนของตนที่กำลังจะแกะกล่องไปรษณีย์ คนเป็นลูกจึงนำจดหมาย ไปรษณียบัตรและของขวัญที่ห่อมาอย่างดี ไปวางไว้บนโซฟาในห้องนั่งเล่น ก่อนจะกลับมากินอาหารต่อจนเสร็จ
หลังจากเช็ดโต๊ะและช่วยคุณแม่ล้างจานชามเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาสำหรับการแกะกล่องของขวัญ กล่องแรกมาจากจังหวัดน่าน
“ผ้าเช็ดหน้าลายน้ำไหล สำหรับใช้เช็ดเหงื่อเมื่อซ้อมมวย จากป้าเอง ขอให้หลานมีความสุขมาก ๆ นะจ๊ะ” เด็กหนุ่มอ่านคำอวยพรของคุณป้าที่ส่งสินค้าขึ้นชื่อของจังหวัดน่านมาให้ พลางดูผ้าผืนสวยนั้นสักพักแล้วจึงหันไปแกะไปรษณียภัณฑ์กล่องต่อไป หนังสือไวยากรณ์ภาษาอังกฤษเล่มใหญ่ของสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดฉบับพิมพ์ครั้งล่าสุดคือของขวัญที่คุณปู่ของเขาส่งมาให้
“หนังสือเล่มนี้จะช่วยให้หลานเชี่ยวชาญภาษาอังกฤษมากขึ้น จนเทียบเท่าเจ้าของภาษา”
เด็กหนุ่มทำหน้าเหยเก ที่ตนเองจะต้องท่องตำราเล่มโต เขาไม่ได้คิดที่จะเอาดีทางด้านภาษาอังกฤษซักหน่อย แต่คุณปู่ของเขาก็ชอบที่จะส่งตำราที่เกี่ยวกับภาษาอังกฤษมาให้เสมอ ซึ่งเขาก็ไม่ค่อยอ่านเท่าไรหรอก เด็กหนุ่มคิดดังนั้นแล้วก็วางหนังสือดังกล่าวลงแล้วหันไปสนใจไปรษณียภัณฑ์กล่องสุดท้าย ซึ่งพอแกะออกเห็นกล่องของขวัญที่อยู่ภายใน เขาก็รู้ทันทีว่าผู้ที่ส่งของขวัญชิ้นนี้มาคือใคร เพราะคนที่ใช้กระดาษลายแมวเหมียวห่อของขวัญมีเพียงคนเดียวเท่านั้น
“สุขสันต์วันเกิดจ๊ะ ขอให้โตขึ้นเป็นหนุ่มหล่อนะ เมี้ยว จาก พี่แมว”
รุ่นพี่ที่ร่วมกลุ่มกิจกรรมเดียวกันกับพี่ชายของเขาที่มหาวิทยาลัยนั่นเอง พี่แมวคนนี้ค่อนข้างสนิทกับพี่ชายของเขาพอสมควร มีอยู่หลายครั้งที่พี่ชายของเขาพารุ่นน้องกลุ่มมาทำงานหรือมาติววิชาที่บ้าน ซึ่งแทบทุกครั้งก็จะมีพี่แมวมาด้วย ทำให้รู้จักกับเขาคุ้นเคยกับพี่แมวไปด้วย จึงไม่น่าแปลกใจที่พี่แมวมักจะส่งของฝากมาให้ครอบครัวของอยู่เสมอ และเขาเองก็ได้ของขวัญวันเกิดจากพี่แมวมาแล้วถึงสามครั้งด้วยกัน และทุกครั้งก็ต้องเป็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับแมวอยู่เสมอ และครั้งนี้ก็เช่นกัน เมื่อแกะกล่องของขวัญออกก็เห็นถ้วยน้ำมีหูสามใบ แต่ละใบมีรูปแมวไทยต่างชนิดกันอยู่ ใบหนึ่งเป็นรูปแมวสีสวาด ใบหนึ่งเป็นรูปแมวศุภลักษณ์ และอีกใบคือรูปแมวโกนจา
เมื่อเห็นถ้วยน้ำถึงสามใบเด็กหนุ่มก็คิดไม่ออกว่าจะเอาไปใช้ทำอะไร เนื่องจากเขามีทั้งแก้วน้ำและถ้วยใส่น้ำอยู่สองสามใบแล้ว เขาอยากได้อย่างอื่นมากกว่า เช่น โน๊ตบุ๊ค หรือแทบเล็ต หรือไอแพด แต่อย่างว่าของเหล่านั้นราคาแพง พี่เขาคงไม่ซื้อมาให้หรอก อย่างไรเสียได้แค่นี้ก็ดีแล้ว อย่าลืมโทรไปขอบคุณพี่เขาด้วยละกัน
แต่แล้วความคิดของเด็กหนุ่มก็เปลี่ยนไปเมื่อเหลือบไปเห็นของอีกชิ้นที่อยู่ในกล่องของขวัญของรุ่นพี่
“โอ้โฮ! แบบนี้ต้องขอบคุณยกกำลังสองซะแล้ว” เด็กหนุ่ม ค่อย ๆ หยิบของดังกล่าวออกมาแล้วบรรจงสวมคอ
“สวยจังเลยลูก” นภากล่าวชมของที่ลูกชายคล้องคออยู่ สิ่งนั้นคือสร้อยคอที่มีคริสตัลขนาดเล็กสี่ชิ้นห้อยอยู่ ทั้งสี่ชิ้นมีสีต่างกัน กล่าวคือ สีฟ้า สีแดง สีเหลือง และสีขาว และทั้งสี่ชิ้นก็เปล่งประกายระยิบระยับงามจับตา
“ใครให้มาล่ะนี่?” ธนาถาม
“พี่แมวเป็นคนให้ฮะ เป็นของขวัญที่ดีมากเลย” กล้าตอบคำถามของพ่อ ก่อนจะชูไปรษียบัตรขึ้น
“แต่ก็ยังไม่ดีเท่าสิ่งนี้” ข้อความในไปรษณียบัตรทำให้พ่อ แม่ ลูก ยิ้มออกมาได้
“นี่ก็ใกล้ได้เวลาแล้วนี่ ถ้าอย่างนั้นลูกรีบหน่อยดีกว่า” ธนาซึ่งหันไปมองนาฬิกาบนผนังห้องบอกลูกชายของตน กล้าได้ยินดังนั้นก็ไม่รอช้า รีบขึ้นไปข้างบนห้องนอนของเขา สักพักก็กลับลงมาพร้อมกระเป๋าใส่โน๊ตบุ๊คและสายไฟ เด็กหนุ่มเปิดกระเป๋าเอาเครื่องคอมพิวเตอร์ออกมาเสียบสายไฟ เปิดเครื่องเสร็จเรียบร้อย และเปิดปุ่มต่อ Wifi หลังจากรออยู่สักครู่ก็ต่ออินเตอร์เน็ตได้ ก่อนที่จะเข้าโปรแกรม Skype ตอนสิบโมงครึ่งพอดี และแล้วคนที่พวกเขารอก็ติดต่อมา
“สวัสดีครับคุณพ่อ คุณแม่ และสวัสดีนะกล้า” ภาพของลูกชายคนโตของตระกูลสันติธรรม เมธา สันติธรรม หรือ เก่ง กล่าวทักทายสมาชิกในครอบครัวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“เก่ง ปลอดภัยดีใช่ไหมลูก ?” คนเป็นแม่ถามด้วยความเป็นห่วง
“ก็อย่างที่เห็นแหละครับ ยังครบสามสิบสองอยู่ และก็ไม่ได้ป่วยเลยนับแต่มาอยู่ที่นี่ แล้วคุณพ่อ กับคุณแม่สบายดีนะครับ”
“สบายดีมากเลยลูก” ผู้เป็นพ่อเป็นฝ่ายตอบคำถามนั้น “เพียงแค่หูของพ่ออาจจะยานไปบ้าง” คำตอบที่ได้ทำให้คนเป็นแม่หันมาค้อนควับ เรียกเสียงหัวเราะจากลูกชายซึ่งอยู่ไกลออกไปหลายพันกิโลเมตรได้
“ว่าไงเรา โตขึ้นเป็นหนุ่มรูปหล่อแล้ว” เมธาทักทายน้องชายของตัวเอง
“แหม ผมก็หล่ออยู่แล้ว หล่อกว่าพี่เสียอีก” กล้าทำหน้าเก๊กหล่ออวดพี่ชาย
“แล้วมีสาวมาจีบบ้างหรือยัง?”
“ไม่ล่ะครับ เดี๋ยวมีปัญหาเรื่องการเรียน”
“จริงเหรอ แต่พี่ว่าคุณน้ำจากฟ้าไม่ยอมให้กล้าไปมีคนอื่นมากกว่ามั้ง” ผู้เป็นพี่แซวน้องชายตัวเอง
“พี่ ฝนเป็นแค่เพื่อนร่วมห้องของผมเองนะ” น้องชายกล่าวอย่างประหม่า
“ทุกอย่างก็เริ่มจากคำว่า เพื่อน นะ”
“แหม แหม! แซวใหญ่เลยนะครับ ไปทำอาสาต่างแดนแบบนี้ คงเหงาน่าดู อะ ผมให้พี่ดูของฝากจากพี่แมว เผื่อพี่จะได้หายเหงาบ้าง” เด็กหนุ่มชูถ้วยน้ำลายแมวเหมียวที่เพิ่งได้มาเป็นของขวัญวันเกิดอวดคนเป็นพี่
“อย่าเข้าใจผิดนะ แมวเขาก็แค่รุ่นน้องที่ร่วมกิจกรรมกันเท่านั้นเอง อาจจะใกล้ชิดกันบ้าง แต่ก็ไม่ถึงขั้นคบหากันหรอก” เป็นคำแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้นจริง ๆ เมื่อคนที่ถูกกล่าวถึงนั้นเคยมาที่บ้านเขาหลายครั้งทั้งยังเอาของฝากมาให้ครอบครัวเขาและพี่ชายของเขาเสมอ
“เอ ทุกอย่างเริ่มที่ความใกล้ชิดไม่ใช่หรือครับ พี่ชาย” กล้าทำเสียงสูงกวนประสาท
“พอ พอ เอาเป็นว่าพี่ขอให้กล้ามีความสุขมาก ๆ ก็แล้วกัน สุขสันต์วันเกิดนะน้องพี่”
“ขอบคุณครับ”
“อ้อ แล้วอย่าลืมดูแลคุณพ่อ คุณแม่ ด้วยล่ะ”
“ครับ”
“ขอโทษด้วยนะที่พี่ไม่ได้ส่งของขวัญไปให้”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่ได้ทราบว่าพี่ปลอดภัยก็เป็นของขวัญที่ดีที่สุดให้กับพวกเราแล้วล่ะครับ” กล้าหันไปทางพ่อกับแม่ที่ยืนอยู่ข้างหลัง พวกท่านมีสีหน้ายิ้มแย้ม
“ถ้าอย่างนั้น ผมขอตัวไปทำงานต่อนะครับ คุณพ่อ คุณแม่ ไว้ว่างเมื่อไรจะรีบกลับไปหา เราก็ทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่ได้แล้วนะ เอ้อ! ที่แขวนอยู่นั่นคริสตัลใช่ไหม สวยดีนะ”
“ขอบคุณครับ โชคดีครับ แล้วติดต่อกลับมาใหม่นะครับ”
จบไปแล้วกับการสนทนาที่มีความสุข ถึงจะไม่มีของขวัญใดส่งมาให้ก็ตาม แค่ได้พูดคุยกันก็เหมือนอยู่พร้อมหน้าแล้ว เด็กหนุ่มเก็บไปรษียบัตรที่พี่ชายส่งมาจากประเทศซูดานใต้ไว้ เป็นไปรษนียบัตรที่บอกเล่าเรื่องราวโดยสรุปของงานที่ทำ และบอกว่าจะติดต่อพวกเขาผ่านทาง Skpe ในเวลาสิบโมงครึ่งตามเวลาในประเทศไทย
ต้องนับว่า เมธา สันติธรรม เป็นคนที่ใจกล้ามากถึงเลือกที่จะเดินทางไปยังประเทศแถบแอฟริกา ทั้งที่รู้ดีว่าประเทศแถบนั้นอันตรายเพียงใด แต่เขาก็ยังเลือกที่จะทำงานช่วยเหลือทางกฎหมายร่วมกับองค์การยูนิเซฟเพื่อช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสในกาฬทวีป แรงบันดาลใจเกิดขึ้นตั้งแต่ยังเรียนชั้นปริญญาตรีอยู่ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่ออาจารย์ที่สอนวิชากฎหมายสิทธิมนุษยชนได้ฉายวิดีทัศน์ให้ดูภาพของสงครามกลางเมืองที่ยังคงเกิดขึ้นในบางส่วนของโลก ภาพเด็กที่อดอยากหิวโหย ภาพความโหดร้ายของสงครามทำให้เขาสลดหดหู่
พอจบการศึกษาระดับปริญญาตรีเมื่อปีที่แล้ว เขาจึงได้ตัดสินใจสมัครเข้าทำงานกับองค์การยูนิเซฟ โดยเรียนปริญญาโทไปด้วย โดยหวังว่าจะได้ประสบการณ์การทำงาน จนกระทั่งสองเดือนก่อนทางองค์การยูนิเซฟได้ขออาสาสมัครไปทำงานช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ประเทศในแถบแอฟริกาตะวันออก เก่งก็ตัดสินใจสมัครทันที
ถึงแม้จะไปเป็นเวลาเพียงแค่ ๘ เดือน แต่คุณพ่อ คุณแม่ก็คัดค้านอย่างหนัก เพราะกลัวเรื่องของภัยต่าง ๆ ทั้งจากสงครามกลางเมือง ภัยจากโรคติดต่อ ความไม่เจริญ ฯลฯ
แต่ถึงอย่างนั้นเด็กหนุ่มก็ยืนกรานจะไปทำหน้าที่นี้ให้ได้ เขาบอกว่าหน้าที่ของเขาไม่ได้ไปอยู่ในแนวหน้าหรือในเขตอันตราย เป็นเพียงพวกที่จะคอยสนับสนุนเจ้าหน้าที่ขององค์การ และยังทำงานที่เกี่ยวกับเอกสาร เขายกเรื่องประโยชน์ที่จะได้รับจากการเดินทางไปทำงานที่นั่น ทั้งการได้ฝึกภาษา ได้ประสบการณ์ ได้เรียนรู้งาน
แน่นอนว่าเหตุผลเหล่านี้ยังไม่สามารถที่จะจูงใจให้คุณพ่อ คุณแม่ และคนอื่นในครอบครัวเห็นด้วยกับความคิดของเขาได้แม้แต่น้อย แต่เก่งเป็นคนที่มีความมุ่งมั่น ทำอะไรทำจริง จนบางครั้งออกจะดื้อรั้นไปบ้าง เขาไปขอคำปรึกษาจากอาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อขอให้ช่วยโน้มน้าวคุณพ่อคุณแม่ของเขาให้เห็นด้วย และอาจารย์ที่ปรึกษาก็ช่วยเหลือเขาอย่างดี ยังมีเจ้านายของเขาที่องค์การยูนิเซฟที่คอยหาข้อมูลและรับรองความปลอดภัยอีกด้วย
หลังจากมีการพูดคุยกันบ่อย ๆ พ่อแม่ก็เริ่มจะคล้อยตามอยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่ยอมอยู่ดี ดังนั้น เก่งจึงต้องขอความช่วยเหลือจากผู้กองเดชา เทวารักษ์ พี่ชายของวิฬาร์ เทวารักษ์ ให้ช่วยอีกแรง อันผู้กองเดชา หรือที่ทุกคนในบ้านเขาเรียกกันว่าเดชนั้น เป็นทหารหนุ่มที่มีฝีมือเก่งกาจ และมีอนาคตก้าวหน้า ความสามารถของเขาทำให้เขาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นร้อยเอกภายในเวลาอันรวดเร็ว นับว่าเป็นผู้กองหนุ่มที่มีอนาคตไกล และที่สำคัญผู้กองคนนี้นั้นมักจะหลีกเลี่ยงที่จะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมืองและเส้นสายภายในกองทัพ เขาเลือกที่จะปฏิบัติหน้าที่ในฐานะทหารของสหประชาชาติมากกว่า
เดชกับน้องสาวนั้นรู้จักมักคุ้นกับครอบครัวสันติธรรมดี ดังนั้น เมื่อเก่งไปขอร้องให้เดชช่วยพูดกับพ่อแม่เขา เดชก็ตกลง ในการพูดคุยกันครั้งนั้นเดชรับรองอย่างแข็งขันว่าจะไปคอยคุ้มครองเก่งให้ปลอดภัย จนในที่สุดพ่อแม่ของเก่งก็ยอมให้เก่งไปตามที่ต้องการ แต่มีข้อแม้ว่าเก่งจะต้องติดต่อมาหาทุกสัปดาห์ เก่งก็เลยติดตั้ง Skype ในเครื่องโน๊ตบุ๊คให้ เพื่อใช้ติดต่อสื่อสารกัน ส่วนผู้กองเดชนั้นก็ทำเรื่องขอไปประจำการในเขตที่เก่งจะเดินทางไป ซึ่งก็โชคดีที่ต้นสังกัดอนุม้ติ ทุกอย่างจึงเรียบร้อย ในวันออกเดินทางมีคนที่ตามไปส่งเก่งมาก ทั้งครอบครัวของเขา ครอบครัวเทวารักษ์ รุ่นพี่ รุ่นน้องกลุ่มศึกษากฎหมายภาคปฏิบัติ และเพื่อนสมัยมัธยมและสมัยมหาวิทยาลัย ทุกคนอวยพรให้เขาโชคดี ส่วนผู้กองเดชนั้นเดินทางโดยเครื่องบินทหารตามไปสมทบหลังจากนั้นไม่นาน
นี่ก็ผ่านมาได้สองเดือนแล้วสินะ ยังเหลืออีกตั้งหกเดือนแน่ะกว่าที่พี่เก่งจะกลับมา ไม่รู้ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร แต่ก็คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงนะ เขายังคิดในแง่ดีอยู่ ถึงแม้ว่าโลกทุกวันนี้จะเต็มไปด้วยภัยพิบัติสุดที่คาดเดาได้ก็ตาม

กิ๊งก่อง! กิ๊งก่อง!

มาแล้วเหรอ ตามเวลานัดเป๊ะเลย

“เดี๋ยวพ่อออกไปเอง” พูดเสร็จธนาก็เดินออกไปข้างนอก
“อ้าว! นั่นพวกเพื่อน ๆ ของลูกนี่นา”
“พ่อบอกให้พวกเขารอสักครู่ครับ ผมจะไปเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวก่อน” ว่าแล้วกล้าก็รีบวิ่งขึ้นบันไดไปก่อนจะกลับลงมาด้วยชุดเสื้อยืดคอกลมสีเขียวใบไม้ซึ่งมีกระเป๋าเสื้ออยู่และกางเกงยีนส์สีดำ เขาไม่ลืมที่จะแขวนสร้อยคริสตัลที่เพิ่งได้รับเป็นของขวัญมาอีกด้วย
“นี่จะออกไปเที่ยวอีกแล้วเหรอ ?” ผู้เป็นแม่ถามด้วยน้ำเสียงออกจะดุ เจ้าลูกชายพยักหน้า
“วันนี้ไม่กินข้าวกลางวันนะครับ แต่รอกินเค้กฝีมือคุณแม่เย็นนี้อยู่” พูดจบก็รีบเดินไปที่ประตูบ้านทันที
“วันนี้กลับให้เร็วนะ” ผู้เป็นพ่อกำชับ
“ครับ” รับคำแล้วก็เดินออกไปหาเพื่อนที่รออยู่นอกบ้าน
“พ่อวันนี้ช่วยแม่ทำเค้กนะ”
“อะไรนะแม่” ธนาหันไปถามภรรยาคู่ใจ
“แม่บอกว่าพ่อต้องช่วยแม่ทำเค้กนะ” นภายิ้มให้กับสามีของตน พลางยกมือข้างที่เคยใช้ดึงหูเมื่อคืนขึ้นมา
“จ๊ะที่รัก” ธนาทำหน้าแหย


“สร้อยคริสตัลสวยจังเลย” เพื่อนสาวร่วมหยิบคริสตัลที่ห้อยอยู่บนคอของเด็กหนุ่มขึ้นมาดูในขณะที่พวกเขาทั้งสี่คนนั่งอยู่ในรถแท็กซี่ที่กำลังมุ่งหน้าไปยังสวนสนุกแห่งใหม่
“อืม! พี่แมวเป็นคนให้มาน่ะ” กล้าตอบกลับพลางอมยิ้มเล็กน้อย
“พี่แมวอีกละ สนิทกันดีจังนะ” พิรุณา หรือฝน เอ่ยแบบงอน ๆ ก่อนจะปล่อยคริสตัลออกจากมือแทบจะทันที
“อย่างอนสิฝน พี่เขาก็แค่คนรู้จักเท่านั้นแหละ” เด็กหนุ่มปลอบ
“คนรู้จักที่มาเยี่ยมเยือนบ่อย ๆ ส่งของขวัญวันเกิดมาให้ทุกปีเนี่ยนะ” ฝนหันหน้าไปทางกระจกรถ
“พี่แมวน่ะเขาไม่ได้คิดกับเราแบบนั้นหรอก” กล้าบอกพลางเอามือประสานไว้ที่หลังคอ
“รู้ได้ยังไง”
“พี่แมวน่ะชอบพี่เก่งต่างหากล่ะ ถึงได้...”
“ประทานโทษนะครับ คุณกล้า คุณกรุณาอย่าเอาเรื่องครอบครัวมาแฉให้คนขับรถแท็กซี่ฟังจะได้ไหมครับ” เพื่อนชายร่วมห้องที่นั่งอยู่ทางด้านซ้ายมือของเด็กหนุ่มขัดจังหวะก่อนที่เขาจะพูดมากไปกว่านี้ คำพูดดังกล่าวทำให้เพื่อนทั้งสองของเขาได้สติ
“เออ ขอบใจว่ะเพลิง กูก็ลืมไป” เด็กหนุ่มพูดโดยไม่ได้เปลี่ยนท่าแต่อย่างใด
“แล้วนี่เราจะเล่นอะไรกันบ้างล่ะ?” กล้าชะโงกหน้าไปถามเพื่อนที่นั่งอยู่เบาะหน้า
“อะไรก็ได้ที่ให้รู้สึกตื่นเต้นหวาดเสียว” ภูผา หรือใหญ่ตอบโดยไม่หันมามอง
“ก็แทบทุกอย่างในสวนสนุกนั่นแหละ แต่เราเล่นทุกอย่างไม่ได้ เพราะเราพกเงินมาไม่เกินห้าพันบาทเท่านั้น อีกอย่างเราไม่มีเวลามากพอ”
“ไม่จำเป็นต้องบอกให้คนอื่นทราบถึงจำนวนเงินก็ได้ครับคุณฝน” เพลิงหรือชื่อจริง คือ อัคคี กล่าวอย่างเอือมระอา พลางส่ายหน้า ทำไมเพื่อน ๆ ของพวกเขาถึงชอบพูดเรื่องส่วนตัวและเรื่องเงินทองให้คนอื่นได้ยินก็ไม่รู้
“ไม่เป็นไรหรอก ให้ใหญ่จ่ายไปก็แล้วกัน ขนาดตอนนั้นไอ้ใหญ่ไม่มีเงินในกระเป๋าซักบาท ยังหาทางทำให้คนขับรถแท็กซี่ยอมรอเพื่อหาเงินมาใช้คืนภายหลังได้เลย
“ไอ้คุณกล้าครับ กรุณาแฉเพื่อนแบบนี้จะได้ไหมครับ ?” เพลิงอยากจะปิดปากเพื่อนของเขาจริง ๆ
แต่เหตุการณ์ก็ผ่านไปได้อย่างเรียบร้อย พวกเขามาถึงสวนสนุก และเพลิงก็จัดการจ่ายค่าแท็กซี่ให้จนครบและยังแถมเงินให้อีกห้าสิบบาท
“อย่าไปเล่าให้คนอื่นฟังเรื่องที่เพื่อนของผมพูดวันนี้นะครับ ขอร้อง” เพลิงกล่าวกับคนขับรถแท็กซี่ ทำเอาคนขับหัวเราะ หึหึ ออกมา
“เอาล่ะ ไปเล่นรถไฟเหาะตีลังกากันเถอะ” กล้าบอกเพื่อน ๆ
“เราไปเล่นซูเปอร์สแปลชก่อนไม่ดีกว่าเหรอ” ฝนบอก
“นั่นสิ ตอนนี้อากาศร้อนไปเล่นเรือให้คลายร้อนก่อนดีกว่านะ” เพลิงบอก
“นายไม่กลัวหมดไฟเหรอ” กล้าสัพยอก
“ไฟอย่างเราน้ำดับไม่ได้หรอก” เพลิงบอกพลางเอามือทุบหน้าอก
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ” กล้าบอกก่อนที่จะเดินนำหน้าทุกคนไปที่ทางเข้าสวนสนุก
“เดี๋ยวก่อน” ใหญ่จับไหล่กล้าไว้
“อะไร”
“ไปหาอะไรกินกันก่อนสิ” ใหญ่บอกพลางชี้มือไปที่ร้านฟาสต์ฟูดที่อยู่ฝั่งตรงข้ามสวนสนุก
“เออ! ลืมไป”
แล้วทั้งสี่คนก็เดินข้ามถนนไปยังร้านดังกล่าวเพื่อกินอาหารกลางวัน โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัวเลยว่ามีแมวตัวหนึ่งกำลังมองพวกเขาอยู่


“เมี้ยว เมี้ยว! เมี้ยว!
“อะแฮ่ม จะเล่นกับแมวอีกนานไหมครับคุณกล้า ใกล้จะถึงตาของเราแล้วนะครับ” เพลิงสะกิดเพื่อนของเขาที่ยังทำท่าหยอกล้อกับแมวโดยไม่สนสายตาของคนรอบข้างที่เข้าแถวรอเล่นรถไฟเหาะตีลังกา
“อย่าใจร้อนน่า เจ้าตัวนี้มันขี้อ้อน ตามพวกเรามาตั้งแต่เข้ามาในสวนสนุกแล้ว” กล้าตอบพลางเกาคางให้แมววิเชียรมาศที่ทำท่าหยอกล้อเล่นกับเขา
“นายนี่ถ้าจะชอบแมวมากเลยนะ” ฝนบอกเสียงเย็นชา
“เรายังชอบสัตว์หลาย ๆ ชนิดเลยล่ะ ไม่ว่าจะเป็นหมา เป็นนก เป็นกระรอก หรือปลาทอง พวกเต่านี่ก็น่ารักนะ” กล้าพูดโดยไม่รู้หรอกว่าฝนทำหน้าเย็นชาขนาดไหน
โถ เพื่อน นายนี่ช่างไม่เข้าใจที่สาวเขาพูดบ้างเลยเพลิงคิดในใจพลางส่ายหน้าเบา ๆ
“แล้วทำไมไม่หามาเลี้ยงไว้สักตัวล่ะ ?” ใหญ่ถาม
“ก็ ไม่มีเวลาสักเท่าไหร่น่ะ” กล้าตอบโดยยังคงไม่หยุดเกาคางแมว
เอาเวลาไปเล่นเพลย์สเตชั่นน่ะสิ ไม่อย่างนั้นก็ใช้เฟซบุ๊ควันละไม่ต่ำกว่าสามชั่วโมงเพลิงคิดในใจพลางส่ายหน้าอีกครั้ง
“เชิญหมายเลข ๕๐ ถึงหมายเลข ๗๕ ค่ะ” เสียงประกาศดังขึ้นหลังจากที่รถไฟลอยฟ้าลงมาจอดที่ข้างล่างเรียบร้อยแล้ว
“แล้วมาเล่นกันต่อนะเจ้าเหมียว” กล้าเกาคางให้มันอีกสองสามรอบก่อนจะเดินไปรวมกลุ่มกับเพื่อน
“หยุดเลยคุณกล้า ไม่ต้องเอามือมาจับแขนเราเลย สกปรก เดี๋ยวโดน” คำพูดและท่าทางของเพลิงทำให้กล้าเสียแผนไปทันที
“เอ้า ! เข้าไปได้แล้ว” ใหญ่ตบเข้าที่สีข้างของเพื่อน
“โอ๊ย! เบา ๆ หน่อยสิ” กล้าเอามือลูบไปที่สีข้าง พลางทำหน้าเจ็บปวด
“แหม! ทำเป็นสำออย ไป เข้าไปนั่งได้แล้ว ไม่อย่างนั้นโดนอีก” ใหญ่ทำท่าเงื้อมือขึ้น ทำให้กล้าต้องรีบเดินไปเข้าไปยังที่นั่งของรถไฟเหาะ
“จะไม่เก็บสร้อยคริสตัลเหรอ เดี๋ยวพอถึงช่วงที่รถไฟตีลังกาก็ตกหายหรอก”
“เออ! จริงของเธอขอบใจที่เตือนนะฝน” กล้าส่งยิ้มอย่างจริงใจไปให้ ทำให้เพื่อนสาวแก้มแดงนิดนึง
“ถ้าอย่างนั้นก็รีบเก็บสิครับ คุณกล้า แล้วก็อย่าลืมรัดเข็มขัดด้วยล่ะ”
“ครับ คุณพ่อ!” กล้าทำหน้าเซ็งใส่เพื่อนร่วมห้องที่ชอบอบรมสั่งสอนเขาไปซะทุกเรื่อง ก่อนจะถอดสร้อยคริสตัลเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกง แล้วขึ้นไปนั่งเก้าอี้ข้างคุณพ่อร่วมห้อง รัดเข็มขัดให้แน่น แล้วตะโกนขึ้นว่า
“ไปกันเลย”
“แล้วเอ็งจะตะโกนทำไมครับ คุณกล้า” เพลิงส่ายหน้า ส่วนฝนและใหญ่ซึ่งนั่งอยู่ด้านหลังทั้งสองหัวเราะคิกคัก
สักพักรถไฟก็แล่นไปตามรางอย่างช้า ๆ ก่อนจะเร่งความเร็วขึ้น พาให้คนนั่งรู้สึกตื่นเต้นหวาดเสียว บางส่วนก็ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดออกมา
“เฮ้! นี่ยังไม่ถึงส่วนที่เสียวที่สุดเลยนะ ต่อไปนี้ล่ะของจริง” กล้าพูดเมื่อรถไฟเหาะกำลังเคลื่อนที่ขึ้นไปยังจุดปล่อย
“ตีลังกาสี่รอบแนะ กรี๊ดให้ดัง ๆ นะเพื่อน” กล้าหันไปบอกใหญ่
“เออ! จะเอาให้หูแกแตกเลย” ไม่ทันขาดคำรถไฟก็แล่นลงมาด้วยความเร็วสูงผ่านไปยังวงลูบที่หนึ่ง ขึ้นไปตีลังกาบนวงลูบที่สอง ค้างเติ่งอยู่สิบห้าวินาที แล้วปล่อยลงมาผ่านวงลูบที่สามและวงลูบสุดท้าย และในขณะที่กำลังแล่นลงมาจากาวงลูบสุดท้ายนั้นเอง เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่ออยู่ ๆ ก็มีแสงเปล่งประกายเจิดจ้าขึ้นจนเด็กหนุ่มต้องหลับตาลง และที่แย่กว่านั้นก็คือ
“เฮ้ย!” กล้าร้องลั่นเมื่อพบว่าอยู่ ๆ เข็มขัดและตัวยึดที่สวมอยู่ก็หลุดออกมาซะอย่างนั้น และเมื่อรถไฟเบรกก็เหมือนมีแรงมากระชากให้เด็กหนุ่มลอยไปข้างหน้า และผลักเขากลับมานั่งยังที่เดิม
“อูย!” เด็กหนุ่มพยายามจะลูบก้นของตัวเองที่กระแทกเข้ากับที่นั่งอย่างแรง
“เบา ๆ หน่อยก็ไม่ได้แฮะ” เด็กหนุ่มบ่น พลางยันตัวลุกขึ้น
“มีใครเป็นอะไรบ้างหรือเปล่า?” กล้าถาม
“จุ๊กกรู”
“เออ ไม่ต้องมาแหย่ กูเจ็บนะเนี่ย”
“จุ๊กกรู”
“ยังจะมาจุ๊กกรูอีก หือ!” เด็กหนุ่มรู้สึกถึงอะไรบางอย่างมาจับที่ต้นแขน และความรู้สึกบอกว่านั่นไม่ใช่มือคน เหมือนเป็นขนอะไรสักอย่าง
“ทำอะไรวะ?” กล้าลืมตาขึ้น แต่เขาไม่เห็นเพื่อนของเขา อันที่จริงเขาไม่เห็นคนอื่น ๆ เลย เขาไม่เห็นแม้แต่รถไฟเหาะตีลังกาด้วยซ้ำ สิ่งที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้าคือ
“นกเขาอะไรตัวใหญ่ขนาดนี้”
ใช่แล้วนกเขาขนาดเกือบเท่าตัวของเด็กหนุ่มนั่นแหละที่อยู่ตรงหน้าเขาและกำลังจับแขนเขาอยู่ ไม่นานนกเขาตัวนั้นก็ส่งเสียงขึ้นอีกครั้ง

“จุ๊กกรู!