วันเสาร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2555

มามองความดีของผู้อื่นกันเถอะ

สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม









อีกคนตาแหลมคม มองเห็นดาวอยู่พราวพราย (๑)


(๑) สองประโยคนี้เป็นข้อความที่มีการกล่าวถึงมาก ถ้าลองค้นดูใน Google จะพบผลการค้นหาอยู่เป็นแสน ๆ ข้อมูล























สวัสดีปีใหม่ครับ ขอให้ท่านผู้อ่านบทความนี้จงประสบแต่ความสุขความเจริญ ได้พบเห็นแต่สิ่งที่เป็นมงคล มีสุขภาพกายสุขภาพใจแข็งแรงสมบูรณ์ คิดหวังสิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ดีก็ขอให้ประสบแต่ความสำเร็จ ตลอดปีและตลอดไปครับ

















ถึงแม้จะเพิ่งมาสวัสดีปีใหม่กันในวันเด็กแห่งชาติ แต่ก็คงไม่สายเกินไปหรอกครับ เพราะวันขึ้นปีใหม่จีน (วันตรุษจีน) และวันขึ้นปีใหม่ไทย (วันสงกรานต์) ยังมาไม่ถึงเลยครับ

















ปี พุทธศักราช ๒๕๕๔ ที่ผ่านพ้นไปนับเป็นปีที่เหตุการณ์ต่าง ๆ ในโลกของเรานี้ ช่างไม่ดีเอาเสียเลย ทั้งแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่นิวซีแลนด์ สึนามิถล่มประเทศญี่ปุ่น สงครามกลางเมืองในภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ ตลอดจนมหาอุทกภัยที่เข้าท่วมแถบจังหวัดภาคกลางของประเทศไทยและกรุงเทพฯ อย่างหนัก จนบ้านผู้เขียนกลายเป็นเกาะกลางน้ำไปเกือบสองสัปดาห์ นับเป็นประสบการณ์ที่ไม่เคยเจอมาก่อนเลยครับ

















ปี พุทธศักราช ๒๕๕๕ นี้ หวังว่าทุกอย่างคงดีขึ้น แต่ทว่าก็มีคำทำนายถึงเหตุการณ์ร้ายแรงที่อาจจะเกิดขึ้นกับประเทศชาติบ้านเมืองและกับโลกมนุษย์

















กล่าวคือ ปีนี้ตรงกับปี คริสตศักราช ๒๐๑๒ ซึ่งหลายคนเชื่อว่าจะเป็นปีที่โลกถึงกาลอวสาน โดยอ้างอิงถึงคำทำนายของชาวมายาโบราณที่ได้จารึกเอาไว้ในแผ่นจารึกและปฏิทินต่าง ๆ สร้างความแตกตื่นให้กับคนทั้งโลก ยิ่งปีที่แล้วเกิดแต่เหตุการณ์เลวร้ายแล้ว ยิ่งสร้างความน่าเชื่อถือให้กับคำทำนายเหล่านั้นมากยิ่งขึ้น

















เมื่อผู้เขียนกลับมาจากการไปเที่ยวประเทศภูฏานเมื่อวันที่ ๔ มกราคม ที่ผ่านมา ผู้เขียนได้อ่านหนังสือพิมพ์ไทยรัฐแล้วพบว่า มีแต่ข่าวอัปมงคลอยู่เต็มไปหมด แถมพ่วงด้วยเรื่องคำทำนายที่จะเกิดเหตุวิบัติภัยอันร้ายแรง และแผนที่โลกใหม่ที่ว่ากันว่าประเทศไทยเหลือพื้นที่อยู่ครึ่งหนึ่งของพื้นที่ในปัจจุบัน อ้อ แล้วยังมีเรื่องที่ทำนายว่าปีนี้อาจเกิดน้ำท่วมหนักยิ่งกว่าปีที่ผ่านมาเสียอีก

















ก็ต้องรอดูกันว่าจะเป็นไปตามคำทำนายเหล่านั้นหรือไม่ ถ้าไม่เป็นก็ขอเรียกร้องให้ผู้ทำนายหรือผู้ตีความคำทำนายออกมารับผิดชอบด้วยนะครับ

















ทีนี้มาเข้าเรื่องกันดีกว่า ที่จั่วหัวเรื่องไว้ว่า "มามองความดีของผู้อื่นกันเถอะ" และยังได้ยกเอาบทกลอนที่ได้ยินกันอย่างแพร่หลายมาขึ้นต้นบทความในครั้งนี้นั้น ก็ด้วยเหตุที่ว่าในสังคมโลกใบนี้นับวันจะยิ่งปรากฏความเลวร้าย และการว่าร้ายกันหนาหูขึ้นทุกวัน

















ข่าวสารตามสื่อต่าง ๆ ก็มักจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการประพฤติผิดศีลธรรมและกฎหมาย การทุจริต ฉ้อราษฎร์บังหลวงของบรรดานักการเมืองและข้าราชการ การประพฤติตนที่เหลวแหลกของดารา และบุคคลสาธารณะมากมายทั้งในประเทศและต่างประเทศ คดีฆ่ากันตาย ครูล่วงละเมิดทางเพศต่อลูกศิษย์ ตลอดจนการต้องอาบัติของพระภิกษุสงฆ์และสมณะชีพราหมณ์ และข่าวต่างประเทศก็มีแต่เรื่องของการทำสงครามและการก่อการร้ายเต็มไปหมดทุกตรอกซอกมุมของโลก เสมือนหนึ่งว่าโลกนี้มีแต่ความชั่วร้าย















การรับรู้ถึงสิ่งเหล่านี้ทำให้สุขภาพจิตเสียได้ง่าย ๆ และไม่ได้เป็นการจรรโลงสังคมแต่อย่างไรเลย เพราะการกล่าวประณามหรือการประจานสิ่งชั่วร้ายก็ไม่ได้ช่วยให้ความชั่วร้ายในโลกนี้หายไปและก็ไม่ได้ทำให้คนประณามหรือคนประจานกลายเป็นคนดีศรีสังคมได้แต่อย่างใดเลย






...สิ่งแวดล้อมในปัจจุบันนี้ เป็นไปในทางมองแง่ร้ายของคนอื่น






...สมัยนี้ดูเหมือนเราจะได้ยินรอบ ๆ ข้างว่าคนนั้นไม่ดี คนนี้โง่เขลา คนโน้นทุจริต






ความจริงจะเป็นอย่างไรก็ตามที แต่สิ่งแวดล้อมหรือบรรยากาศที่เป็นเช่นนี้ เป็นอันตรายแก่มโนธรรมของอนุชนรุ่นหลังเป็นอย่างยิ่ง






เพราะเป็นเครื่องสร้างนิสัยของอนุชนหรือยุวชน ให้มุ่งมองในแง่ร้ายของคน แล้วความร้ายนั้นก็กลับเข้ามาสู่ตัวเอง... (๒)












(๒) พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ. วิธีทำงานและสร้างอนาคต. พิมพ์ครั้งที่ ๔ กรุงเทพฯ : สร้างสรรค์บุ๊คส์,พฤศจิกายน ๒๕๕๐ น.๗๒ ย่อหน้าที่ ๒






ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับที่หลวงวิจิตรวาทการเขียน โดยดูตัวอย่างได้จากเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองของประเทศไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งหลายคนที่ข้าพเจ้าได้พบปะนั้นมักจะพูดถึงความชั่วของกลุ่มคนที่เคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าคนนั้นเกลียดกลุ่มไหน แต่ละเลยที่จะพูดแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างถูกต้อง เป็นการพูดโดยอาศัยอารมณ์และอคิตเป็นตัวขับเคลื่อนทั้งสิ้น (และมักจะพูดลับหลังคนที่ตนด่าด้วย)





ทีนี้ท่านผู้อ่านลองคิดไตร่ตรองดูให้ดีก็จะพบว่าสิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้ย่อมมีสองด้านเสมอ มีด้านสร้างสรรค์และด้านที่ทำลายล้าง ด้านที่ดีงามและด้านที่เลวร้าย บุคคลทั้งหลายในโลกที่ยังเป็นปุถุชนก็มีสองด้านเช่นกัน ดังเช่นที่มีด็อกเตอร์แจ็กกิลกับมิสเตอร์ไฮด์ (Dr. Jekyll and Mr. Hyde) (๓) ซึ่งด้านที่ดีงามย่อมสร้างสรรค์ความเจริญงอกงาม และประโยชน์อันมากมายให้แก่สังคมโลก ดังนั้น คนที่ฉลาดสมควรเลือกเอาด้านที่ดีมีประโยชน์มาใช้ในการพัฒนาตนและช่วยในการจรรโลงสังคม จะเป็นผลดีกว่าการกล่าวประณามมากมายนัก





(๓) เป็นตัวละครที่มีสองบุคลิก กล่าวคือ ด้านหนึ่งเป็นหมอรักษาคนไข้ อีกด้านเป็นฆาตกรกระหายเลือด





การที่เรายกย่องชาวญี่ปุ่นว่าเป็นชนชาติที่มีระเบียบวินัย โดยที่เราก็รู้ว่าในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองนั้น ทหารญี่ปุ่นแสดงความโหดร้ายอย่างไร แสดงว่าเรามองเห็นถึงนิสัยที่ดีของชาวญี่ปุ่น








เราชื่นชอบนักฟุตบอลอังกฤษ ชอบไปเที่ยวหรือไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษและฝรั่งเศสโดยที่เราก็เรียนรู้จากวิชาประวัติศาสตร์ว่า ทั้งสองชนชาตินี้พยายามที่จะยึดประเทศสยามของเราให้เป็นเมืองขึ้น แสดงว่าเรายอมมองข้ามประวัติด้านไม่ดีของชนชาติเหล่านั้นไป และมองแต่ที่สิ่งที่ดีแทน





เรารับเอาระบบกฎหมาย วิทยาการ สินค้า ฯลฯ จากชนชาติตะวันตก แสดงว่าเราพิจารณาแล้วเห็นว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ดี



การมองแง่ดีของคนอื่น นอกจากจะช่วยให้เรามีความคิดในด้านบวก รู้สึกว่าโลกแจ่มใส มองเห็นโอกาสในวิกฤต และเกิดแรงบันดาลใจแล้ว เรายังอาจจะอยากเลียนแบบสิ่งที่เป็นความดีของบุคคลนั้นด้วย ดังเช่นข้อเขียนของหลวงวิจิตรวาทการที่กล่าวว่า




...คนที่ชอบมองแง่ไหน ผลในแง่นั้นจะมาถึงตัว






คนที่มองเห็นแต่ความชั่วความไม่ดีของคนอื่น จะมีความดีในตัวน้อยเต็มที






และความชั่วจะหลั่งไหลมาสู่ตัวของเขาเอง






คนที่สนใจศึกษาแง่ดีของผู้อื่น ย่อมจะสามารถดูดดึงเอาความดีนั้น ๆ มาเข้าตัวได้เสมอ (๔)







(๔) พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ อ้างแล้ว น. ๗๐ - ๗๑.



การมองแง่ดีของคนอื่น เพื่อที่จะได้นำมาเป็นแบบอย่างนั้น ไม่ใช่การมองว่าการกระทำใด ๆ ก็ตามของบุคคลอื่นเป็นสิ่งที่ถูกต้องทั้งหมด หรือเป็นการทำสิ่งที่ดีทั้งหมด แต่เป็นการค้นหาและพิจารณาว่าการกระทำของบุคคลอื่นนั้น เป็นการกระทำที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ถูกต้องตามกฎหมาย และเป็นไปตามหลักการหรือไม่ หากใช่ ก็นับว่าเป็นสิ่งดี ควรสรรเสริญ และควรเอาอย่าง หากไม่ใช่ก็ไม่ควรเอาอย่าง หากบุคคลอื่นมีข้อบกพร่องตามประสาปุถุชน ทำผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ควรให้อภัย ไม่ควรไปมองในแง่ลบ




แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น การจะเลียนแบบสิ่งที่ดีของบุคคลอื่นก็จะต้องกระทำอย่างชาญฉลาด และไม่เสียความเป็นตัวของตัวเอง หรือละทิ้งแนวประพฤติปฏิบัติอันดีงามของตนไป ดังเช่น พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่พิมพ์ไว้ในธนบัตรมูลค่า ๕๐๐ บาท ว่า



การงานสิ่งใดของเขาที่ดี ควรจะเรียนร่ำเอาไว้ก็เอาอย่างเขา


แต่อย่าให้นับถือเลื่อมใสไปทีเดียว

















ถ้าทำได้ดังนี้แล้ว ตัวท่านและสังคมก็จะพบกับความสงบสุขและการมีเบียดเบียนกันน้อยลงกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้เป็นแน่







ดังนั้น เมื่อท่านมองลอดรูหรือช่องในครั้งต่อไป อย่าได้มองเห็นโคลนตมอันเน่าเละ แต่จงมองให้เห็น ดวงดาวอันสุกสกาวสว่างไสว ให้แสงแห่งความงามจับตาจับใจท่านผู้อ่านทุกท่าน


สวัสดีปีใหม่ครับ (พิมพ์จบวันตรุษจีนพอดี)