วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

พุทธชยันตี (๑) : คติธรรมที่ได้จากพระมหาบุรุษ

    เนื่องในโอกาสที่ปีนี้เป็นปีที่ครบรอบ ๒๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และครบรอบ ๒๖๐๐ ปี แห่งการแสดงปฐมเทศนา ข้าพเจ้าในฐานะชาวพุทธผู้หนึ่งก็เลยเขียน (พิมพ์) บทความที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าว โดยขอออกตัวก่อนเลยว่าผู้เขียนเองไม่ใช่ผู้รู้ในเรื่องของพระไตรปิฎกดีนัก ดังนั้น จึงขอให้ชาวพุทธทั้งหลายช่วยกันมาอ่านบทความนี้ เพื่อที่จะได้วิพากษ์วิจารณ์และชี้แนะให้ข้าพเจ้าทราบว่าเรื่องที่ข้าพเจ้ากล่าวถึงนั้นถูกผิดประการใด จะได้แก้ไขให้ถูกต้อง ข้าพเจ้าหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาและต่อสังคมไทย

       ตอนนี้เป็นตอนแรกในจำนวน ๓ ตอน ข้าพเจ้าจะขอกล่าวถึงคติธรรมที่ข้าพเจ้าได้จากการศึกษา
พระประวัติของพระมหาบุรุษตั้งแต่ช่วงประสูติจนกระทั่งถึงตอนที่พระองค์ตรัสรู้  โดยเฉพาะข้อคิดที่ได้จากการเสด็จออกผนวชของพระองค์

         ชาวพุทธทุกคนทราบดีว่าเจ้าชายสิทธัตถะนั้นทรงออกผนวชเมื่อพระชนมายุได้ ๒๙ พรรษา ทรงออกแสวงหาโมกขธรรมโดยเรียนรู้จากทุกสำนัก เช่น จากอาฬารดาบส และจากอุทกดาบส ทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยาจนพระวรกายซูบผอม และในที่สุดทรงหันมาบำเพ็ญเพียรทางจิตด้วยทางสายกลาง จนในที่สุดพระองค์ก็สามารถตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สำเร็จ

         ชีวิตของพระมหาบุรุษนับตั้งแต่วัยเยาว์จนกระทั่งถึงตอนที่ตรัสรู้นั้นให้ข้อคิดที่ดีอยู่หลายประการ

        ประการแรก คือ การออกบวชดีกว่าการครองบ้านเมือง ทั้งนี้ แม้ว่าการครองบ้านเมืองเป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ทรงธรรมนั้น จะสามารถทำประโยชน์ให้แก่มหาชนส่วนมากได้ก็ตาม แต่การครองบ้านเมืองนั้นก็มีข้อจำกัดในการสร้างประโยชน์สุขให้แก่มหาชนทั่วไป กล่าวคือ
                             ๑) การปกครองบ้านเมือง ย่อมจะต้องปกครองประชาชนให้อยู่เย็นเป็นสุขตลอดเวลา ทั้งต้องรักษาความสงบเรียบร้อยในอาณาจักร ซึ่งการจะปกครองบ้านเมืองให้สงบสุขเช่นนี้จักต้องอาศัยตัวบทกฎหมายและการลงโทษผู้กระทำผิดอาญาแผ่นดิน บางครั้งการลงโทษก็เป็นเหตุให้ต้องประพฤติผิดศีลธรรม ดังมีตัวอย่างในชาดกเรื่องพระเตมีย์ ซึ่งพระเตมีย์ทรงเห็นการที่พระราชบิดาทรงลงอาญาแก่เหล่าโจรผู้ร้ายด้วยทัณฑ์อันน่าสยดสยอง เป็นเหตุให้พระเตมีย์ระลึกถึงความหลังครั้งอยู่ในนรก และบังเกิดความหวาดกลัวจนพระองค์ตัดสินพระทัยไม่รับราชสมบัติเพื่อหลีกเลี่ยงการต้องมาทำบาปทำกรรมเช่นนั้น
                              ๒) การปกครองบ้านเมืองนั้นจักต้องรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนของตนยิ่งกว่าประโยชน์ของชาติบ้านเมืองอื่น การกระทำเช่นนี้เป็นข้อจำกัดการบำเพ็ญประโยชน์เกื้อกูลแก่มหาชนทั้งหลาย เนื่องจากไม่ได้เกื้อกูลประโยชน์แก่ชาวโลกโดยเสมอภาคกัน แต่เอื้อประโยชน์ให้แก่
ชนชาติตนมากกว่า จึงยังมีลักษณะที่เห็นแก่ตัว บางครั้งก็อาศัยการทำสงครามผนวกดินแดนเพื่อความยิ่งใหญ่แห่งชนชาติตน หรือเพื่อแสวงหาประโยชน์จากดินแดนที่ตนยึดครอง ซึ่งเป็นการสร้างความหายนะแก่ชนชาติอื่นเพื่อประโยชน์ของชนชาติตน   ถ้าดูเหตุการณ์ที่เป็นข่าวในปัจจุบันจะเห็นได้ว่า ความขัดแย้งเรื่องดินแดนหรือน่านน้ำระหว่างประเทศทั้งหลาย (เช่น กรณีความขัดแย้งเรื่องหมู่เกาะสแปรตลีย์ เป็นต้น ) นั้น ก็มีสาเหตุมาจากการแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติเพื่อผลประโยชน์ของชาติบ้านเมืองตนทั้งนั้น พระเวสสันดรเองถูกขับออกจากบ้านเมือง เนื่องจากประชาชนไม่พอใจที่พระองค์พระราชทานช้างคู่บ้านคู่เมืองไปให้แก่ชาติบ้านเมืองอื่น ก็เพราะประชาชนมองว่าพระองค์ไม่รักษาผลประโยชน์ของชาติบ้านเมืองนั่นเอง
                             ๓) การปกครองบ้านเมืองจะต้องประสบกับปัญหาสารพัดที่เกิดขึ้นทุกวันในครอบครัวและในสังคม ไม่ว่าจะมาจากความประพฤติของคนรอบข้างก็ดี จากคนในครอบครัวก็ดี จากคนในสังคมบางกลุ่มบางพวกก็ดี จากโจรผู้ร้ายก็ดี หรือจากขุนนางข้าราชการก็ดี แม้นว่าผู้ปกครองบ้านเมืองจะตั้งมั่นอยู่ในธรรม ไม่เคยประพฤติตนเสื่อมเสียเลยก็ตาม แต่ก็จะต้องมาจัดการแก้ไขปัญหาที่บุคคลอื่นเป็นผู้ก่อขึ้น นับเป็นความวุ่นวายอย่างมาก และจะต้องประสบกับความกังวลใจในบั้นปลายพระชนมชีพในการเลือกผู้สืบทอดเพื่อปกครองบ้านเมืองต่อเป็นแน่แท้
                             ๔) การอยู่ครองบ้านเมืองไม่ช่วยให้หลุดพ้นจากความทุกข์ไปได้ เพราะการอยู่ครองบ้านเมืองทำให้ต้องวุ่นวายอยู่กับการบริหารปกครองและทำนุบำรุงบ้านเมือง ไม่มีเวลาที่จะมาบำเพ็ญเพียรทางจิตเพื่อความหลุดพ้น

            ดังนั้น การออกบวชจึงเป็นหนทางที่ดีกว่าการครองเรือนเพราะไม่ต้องทำบาปกรรมใด ไม่ต้องวุ่นวายกับการเลี้ยงดูครัวเรือน และได้ขจัดภาระในฐานะผู้ปกครองออกไป คงเหลือแต่ภาระหน้าที่ในการแสวงหาหนทางเพื่อความพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิงเท่านั้น

              ผู้ที่ปรารถนาจะหลีกเลี่ยงความวุ่นวายทางโลกถ้าไม่ติดขัดด้วยคุณสมบัติแล้วจึงสมควรออกบวชมากกว่าที่จะปฏิบัติธรรมในขณะครองเรือน เพราะจะอยู่ในฐานะและสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการบรรลุธรรมมากกว่า ทั้งนี้ การบวชดังกล่าวจักต้องเป็นการบวชเป็นระยะเวลายาวนาน ไม่ใช่การบวชแค่ตามประเพณีเท่านั้น
                          

        ประการที่สอง คือ การแสวงหาหนทางแห่งความดับทุกข์นั้นต้องอาศัยปณิธานที่แน่วแน่ การเรียนรู้และความเพียรทุกวิถีทาง พระมหาบุรุษนั้นคำนึงถึงการแสวงหาหนทางพ้นทุกข์มานานแล้ว พระองค์ได้พบเห็นเทวทูตทั้งสี่ (คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช) และในวันที่ออกผนวชนั้น พระองค์เห็นบรรดานางระบำทั้งหลายที่เต้นระบำขับกล่อมให้พระองค์เพลิดเพลินนั้น นอนกันไม่ได้สติ ทำให้เห็นภาพของสรีระที่ไม่พึงปรารถนา พระองค์ซึ่งมีพระทัยที่ตั้งมั่นในการแสวงหาหนทางพ้นทุกข์จึงได้เสด็จออกผนวชในคืนนั้นเลย ปณิธานที่แน่วแน่ของพระองค์สามารถดูได้จากการที่พระองค์เพียงแค่ทอดพระเนตรพระนางยโสธราพิมพาและพระโอรสก่อนที่จะออกผนวชโดยไม่ได้กล่าวคำอำลาหรือแตะต้องพระโอรสเลยแม้แต่นิดเดียว พระองค์เสด็จออกผนวชโดยทรงม้ากัณฑกะและมีเพียงนายฉันนะติดตามไปด้วยเท่านั้น พระองค์ปลงพระเกศาของพระองค์แล้วครองเพศนักบวชโดยไม่ทรงกลับเข้าบ้านเมืองของพระองค์ในระหว่างการบำเพ็ญเพียรอีกเลย  การที่พระองค์มุ่งศึกษาจากอาจารย์ทุกสำนักและการบำเพ็ญ
ทุกกรกิริยาอย่างหนักหน่วงเป็นการแสดงให้เห็นถึงความเพียรอันแก่กล้าอย่างที่ไม่มีผู้ใดจะทำได้มาก่อน ทั้งที่ไม่พระองค์ก็ไม่ทราบมาก่อนว่าความพ้นทุกข์เป็นเช่นไรแต่ไม่พระองค์ก็ไม่หยุดบำเพ็ญเพียร

             ผู้ที่ปรารถนาที่จะพ้นทุกข์ก็ต้องมีปณิธานที่แน่วแน่ มีความเพียรในการปฏิบัติธรรมที่แน่วแน่
ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคทั้งปวง (ลองศึกษาจากเรื่องพระมหาชนกดูนะครับ)

        ประการที่สาม คือ การแสวงหาหนทางแห่งความพ้นทุกข์นั้นจักต้องทำให้ถูกวิธี คำกล่าวที่ว่า
"ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น" ย่อมเป็นความจริง แต่ความพยายามดังกล่าวจะต้องทำให้ถูกวิธีด้วย เมื่อพระมหาบุรุษบำเพ็ญทุกกรกิริยามาจนถึงที่สุดแล้วก็ไม่พบความพ้นทุกข์ แต่กลับพบกับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส พระองค์ก็เรียนรู้ที่จะเปลี่ยนวิธีการ ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้ชาญฉลาดและไม่ยึดติดในวิธีการปฏิบัติ (หากพระองค์ยึดติดในวิธีการเดิม พระองค์ก็อาจไม่ได้ตรัสรู้แต่อาจจะสิ้นพระชนม์เสียก่อนก็เป็นได้) แม้นว่าพระองค์จะถูกปัญจวัคคีย์ที่คอยปรนนิบัติพระองค์ในระหว่างที่พระองค์บำเพ็ญทุกกรกิริยาทอดทิ้งพระองค์ไป แต่พระองค์ก็ไม่เปลี่ยนแปลงแนวคิด การปฏิบัติของพระองค์ในช่วงนี้เป็นการค้นพบทางสายกลาง และการบำเพ็ญเพียรทางจิต ซึ่งนับว่าพระองค์มาถูกทางแล้ว
            
       เช่นเดียวกัน ผู้ปฏิบัติธรรมที่ต้องการบรรลุธรรมก็ต้องปฏิบัติให้ถูกวิธีด้วยจึงจะถึงฝั่งพระนิพพาน (แต่ถึงจะไม่พ้นทุกข์ ก็นับว่าเป็นผู้มาถูกทางแล้ว ไม่หลงผิด ไม่หลงวิธีการ) ซึ่งการปฏิบัติให้ถูกวิธีนี้จะต้องอาศัยสติปัญญาและโพธิปักขิยธรรม และที่สำคัญจะต้องรู้ถึงด้วยว่าใจอยู่ตรงไหน

        ประการที่สี่ คือ การอยู่ในที่สงัดเพียงคนเดียวย่อมดีกว่าการอยู่ในที่ชุมชน   เนื่องจากการอยู่ในที่ชุมชนนั้นย่อมต้องวุ่นวายกับพฤติกรรมของบุคคลอื่น และต้องเสียเวลาในการติดต่อสื่อสารกับบุคคลอื่น จะต้องถูกจำกัดด้วยจารีตประเพณี หน้าที่ และมารยาทของสังคม แม้จะไม่ได้คบหากับผู้ใดแต่หากรับรู้ข้อมูลข่าวสารจากโลกภายนอกในขณะที่จิตยังไม่นิ่ง  ก็ย่อมต้องวุ่นวายใจกับความเป็นไปของสังคมโลกเป็นธรรมดา และในชุมชนนั้นก็มักจะมีบุคคล สถานที่ และวัตถุที่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติธรรม  ทำให้จิตใจหวั่นไหวได้ง่าย จึงไม่แปลกใจนักที่เจ้าชายสิทธัตถะจะต้องทรงหักใจหนีออกจากเวียงวังและบ้านเมืองเพื่อออกผนวช ก็เพื่อประโยชน์ในการบรรลุธรรมนั่นเอง และถึงแม้จะทรงบำเพ็ญเพียรในป่าที่ห่างไกลจากบ้านเกิดเมืองนอนของพระองค์แล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีปัญจวัคคีย์ที่คอยทำนุบำรุงพระองค์ ซึ่งตอนนี้ก็ยังเกี่ยวข้องกับบุคคลอื่นอยู่ จนเมื่อปัญจวัคคีย์ละทิ้งพระองค์ไปแล้วนั่นแหละ ที่พระมหาบุรุษได้อยู่เพียงลำพังพระองค์เป็นการอยู่อย่างสงบสงัด เป็นปัจจัยที่เอื้อต่อการตรัสรู้

       ผู้ที่ต้องการจะบรรลุธรรมจึงสมควรที่จะออกไปปฏิบัติธรรมอยู่ตามป่าเขาลำเนาไพรดังเช่นที่
พระธุดงค์ในอดีตเคยปฏิบัติ เพราะจะทำให้จิตใจสงบและเอื้อต่อการบรรลุธรรมได้มากกว่าอยู่ในเมืองหรือชุมชนหมู่บ้าน


       ทั้งหมดนี้ คือ คุณธรรมที่เอื้อให้พระมหาบุรุษทรงบรรลุธรรมตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีข้อสังเกตก็คือ การปฏิบัติธรรมของพระองค์นั้นเป็นการทวนกระแสสังคม กล่าวคือ การสละราชสมบัติออกผนวชนั้นเป็นการทวนกระแสความคาดหวังของพระราชบิดาที่ต้องการให้พระองค์เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ การเลิกบำเพ็ญทุกรกิริยาแล้วหันมาบำเพ็ญเพียรทางจิตเป็นการทวนกระแสการปฏิบัติของเหล่านักบวชในสมัยนั้น และการบำเพ็ญเพียรทางจิตเองก็เป็นการทวนกระแสกิเลสและจิตใจนั่นเอง

         เมื่อพระองค์ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระองค์ได้ออกเผยแพร่พระธรรมและสร้างสังคมแห่งสันติเพื่อประโยชน์สุขแก่ชาวโลกขึ้น พระพุทธองค์ทรงสร้างสังคมแห่งสันติสุขได้อย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป


อ้างอิง

[๑] พระเจ้าสิบชาติ โดย พยัคฆ์, อำนวยสาส์น, อำนวยสาส์นการพิมพ์ น. ๗-๘ และ น. ๓๖๒.

[๒] พระโคตมพุทธเจ้า , http://th.wikipedia.org/wiki/