วันอาทิตย์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2555

ไม่ควรกล่าวโจมตีพระพุทธศาสนา

จากกรณีที่พิธีกรในรายการ คิดเล่นเห็นต่างกับคำผกา ทางช่อง voice tv ได้วิพากษ์วิจารณ์นโยบาย
การสวดมนต์ข้ามปี และยังได้เลยไปวิพากย์วิจารณ์พระพุทธศาสนา ในประเด็นต่าง ๆ นั้น ข้าพเจ้าคงต้องออกมาแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้กันบ้างในฐานะที่เป็นพุทธศาสนิกชนคนหนึ่ง




ในประการแรกเลยขอตั้งข้อสังเกตว่า พิธีกรทั้งสองคนได้แสดงความคิดเห็นดังกล่าวของตนเองออกมาโดย
ไม่ได้มีแขกรับเชิญหรือผู้รับชมรับฟังรายการคนใดมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นไม่ว่าจะในทางสนับสนุนหรือคัดค้านเลย ในรายการมีเพียงแต่ข้อความที่เป็นตัวอักษรของบุคคลที่ชื่อ ภัควดี ไม่มีนามสกุล แสดงความคิดเห็นในทางลบต่อพระพุทธศาสนา (แต่ในข้อความใช้คำว่า "ศาสนา" เหมือนกับจะกล่าวโจมตีทุกศาสนา) เท่านั้น ซึ่งผู้รับชมก็ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าบุคคลดังกล่าวจะมีอยู่จริงหรือได้แสดงความคิดเห็นดังกล่าวจริงหรือไม่




ส่วนประเด็นที่พิธีกรกล่าวโจมตีพระพุทธศาสนานั้น ข้าพเจ้าจับได้ ๖ ประเด็น และทุกประเด็นข้าพเจ้ามีข้อโต้แย้ง ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้




๑) การจัดงานสวดมนต์ข้ามปีเป็นการเบี่ยงเบนประเด็นปัญหาของสังคม และเป็นการใช้เงินงบประมาณของแผ่นดิน


จริงอยู่ที่การสวดมนต์นั้นอาจจะไม่ได้เป็นการแก้ไขปัญหาของสังคมได้ทั้งหมด แต่ถ้าลองคิดดูว่าการที่คนทั่วไปมาสวดมนต์แทนที่จะไปก่อเรื่องนั้นก็เป็นการลดจำนวนคนที่จะก่อเหตุร้ายต่อสังคมได้มิใช่หรือ
เช่นนี้การสวดมนต์ก็น่าที่จะมีส่วนสำคัญในการลดปัญหาของสังคมลงได้


ส่วนการใช้งบประมาณแผ่นดินนั้นในการจัดงานนั้นก็เป็นการสมควรอยู่ เนื่องจาก มาตรา ๗๙ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปัจจุบัน (พุทธศักราช ๒๕๕๐) บัญญัติว่า" รัฐต้องให้ความอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา...รวมทั้งสนับสนุนการนำหลักธรรมของศาสนามาใช้" เมื่อรัฐธรรมนูญได้กำหนดหน้าที่ของรัฐบาลเอาไว้เช่นนี้แล้ว การนำเงินงบประมาณมาใช้เพื่อจัดกิจกรรมทางพระศาสนาก็ย่อมเป็นการถูกต้องตามกฎหมายสูงสุดของประเทศอยู่แล้ว ทั้งพิธีกรเองก็ไม่ได้พิสูจน์ว่าการใช้เงินงบประมาณดังกล่าวส่อไปในทางทุจริตหรือฉ้อโกงอย่างใด ดังนั้น ข้อกล่าวหานี้จึงฟังไม่ขึ้น




๒) การพยายามยกย่องศาสนาพุทธให้เหนือกว่าศาสนาอื่น ทั้งที่คนอยู่กันมาได้โดยไม่มีศาสนาพุทธ


การยกย่องศาสนาพุทธว่าเหนือกว่าศาสนาอื่นนั้น ถ้าไม่ได้ทำในลักษณะเป็นการดูหมิ่นเหยียดหยามศาสนาอื่นแล้วก็ไม่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแต่อย่างใด และไม่เป็นการผิดกฎหมาย ในทางปฏิบัติชาวพุทธเป็นคนใจกว้างยอมคบค้าสมาคมกับคนต่างชาติต่างศาสนาอยู่แล้วโดยไม่มีเหตุต้องมารังเกียจเดียดฉันท์เลย ไม่เข้าใจว่าพิธีกรกล่าวโจมตีทำไม




๓) การให้ความสำคัญกับศาสนาพุทธมากกว่าศาสนาอื่น เป็นการบีบบังคับศาสนิกชนของศาสนาอื่นให้อยู่ภายใต้ระเบียบกฎเกณฑ์และพิธีกรรมของศาสนาพุทธ และไม่ให้ความสำคัญกับศาสนาอื่น


การให้ความสำคัญกับศาสนาพุทธมากกว่าศาสนาอื่นนั้นเป็นเรื่องธรรมดา เนื่องจากคนไทยส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ และศาสนาพุทธมีส่วนเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของคนไทยมากกว่าศาสนาอื่น การที่รัฐบาลจะกำหนดบังคับให้มีการเรียนวิชาพระพุทธศาสนาก็ดี การกำหนดกฎเกณฑ์โดยอาศัยหลักเกณฑ์ของศาสนาพุทธเป็นหลักก็ดี ก็เป็นเรื่องนโยบายของรัฐในการให้ความสำคัญกับศาสนาหลักที่อยู่คู่กับสังคมไทยมาเป็นเวลานับพันปีแล้ว (นับจากเวลาก่อนสมัยสุโขทัย) ทั้งรัฐธรรมนูญฯ ก็ได้กำหนดหน้าที่ของรัฐว่าต้องอุปถัมภ์และให้การคุ้มครองพระพุทธศาสนา (ดังที่กล่าวข้างต้นแล้ว)




การที่พิธีกรเห็นว่าการให้ความสำคัญกับศาสนาพุทธมากและการพยายามให้มีการบัญญัติให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติเป็นการคลั่งศาสนาและบีบบังคับศาสนิกชนของศาสนาอื่นนั้น เห็นว่าเป็นความคิดเห็นที่มองชาวพุทธในแง่ร้าย เนื่องจากไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าชาวพุทธได้กีดกันไม่ให้มีการเผยแผ่ศาสนาอื่น การประกอบพิธีกรรมของศาสนาอื่นหรือกลั่นแกล้งรังแกกดขี่ข่มเหงศาสนิกชนของศาสนาอื่นแต่อย่างใด ศาสนิกชนของศาสนาอื่นยังมีเสรีภาพในการเผยแผ่ศาสนา การปฏิบัติตามหลักธรรมและสามารถประกอบพิธีกรรมได้ตามปกติ


จริงอยู่ที่การห้ามคลุมฮิญาบในโรงเรียนวัดหรือการบังคับให้นักเรียนผู้ที่นับถือศาสนาอื่นต้องเรียนวิชาพระพุทธศาสนานั้นอาจจะเป็นการบังคับให้ผู้นั้นต้องกระทำการขัดต่อหลักศาสนาที่นักเรียนผู้นั้นนับถือ แต่ก็เป็นการบังคับเฉพาะในขอบเขตที่จำกัดในเรื่องสถานที่ (เฉพาะในโรงเรียนวัด หรือวัดพุทธ) และเวลา (เฉพาะเวลาเรียน) ไม่ได้เป็นการจำกัดตลอดเวลาหรือทุกสถานที่




ส่วนการจะให้วันสำคัญทางศาสนาอื่นเป็นวันหยุดประจำชาติ (National Holiday)ด้วยนั้น หากทำเช่นนั้นจะทำให้มีวันหยุดมากเกินไป และจะทำให้คนไม่ทำงาน ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมให้คนไทยเป็นคนเกียจคร้าน และส่งผลกระทบต่องานราชการ ระบบเศรษฐกิจของประเทศ และการเรียนการสอนหนังสือด้วย (เพราะไม่มีการเรียนการสอนในวันดังกล่าว)




๔) มีความพยายามทำให้รัฐไทยเป็นรัฐศาสนา หากมีการบวชจะทำให้รัฐไทยหายไป


พิธีกรกล่าวคล้ายกับเป็นการประชดประชัน คนไทยหรือชนชาติไหนก็แล้วแต่ ไม่สามารถที่จะบวชได้ทุกคน เพราะมีพุทธบัญญัติและพระวินัยกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะบวชได้ และกำหนดบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการบวชไว้ และโดยสภาพบุคคลบางพวก เช่น เด็กทารกไม่สามารถบวชได้ และคนทุกคนแม้จะเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีก็คงไม่ได้คิดที่จะบวชตลอดชีพทุกคน


การที่รัฐหรือประเทศใดประเทศหนึ่งจะหายไปจากโลกนั้นอาจมาจากเหตุใดเหตุหนึ่ง หรือปัจจัยหลายประการประกอบกัน แต่ไม่เคยปรากฏเลยว่าการมีศาสนาทำให้รัฐหรือประเทศใดหายไปจากโลก ทั้งการเป็นรัฐทางศาสนาก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย มีรัฐในโลกนี้ที่รัฐบาลได้ประกาศความเป็นรัฐศาสนา เช่น สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน (การปกครองโดยอาศัยหลักศาสนาอิสลาม โดยมีผู้นำทางศาสนาเป็นประมุขสูงสุด) หรืออย่างราชอาณาจักรภูฏาน (โปรดดูรัฐธรรมนูญของราชอาณาจักรภูฏาน Article 3 ในเว็บไซต์ภาคภาษาอังกฤษของ www.constitution.bt การที่สถานที่ราชการและวัดวาอารามอยู่ในที่แห่งเดียวกัน) เป็นต้น

ส่วนการแสดงเครื่องหมายหรือธงธรรมจักรนั้นในงานพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา งานรัฐพิธี งานราชพิธีนั้นก็เป็นการแสดงออกถึงความเกี่ยวพันและความสำคัญของศาสนาพุทธในสังคมไทย ไม่ได้เป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนเสียหายแก่สังคม และไม่ได้เป็นการกระทำที่ผิดต่อกฎหมายหรือจารีตประเพณีแต่อย่างใด (ลองเปรียบเทียบกับงานแข่งขันกีฬานานาชาติที่จะมีรูปธงชาติ ติดอยู่ที่เสื้อของนักกีฬา หรือ การที่กองเชียร์ชาติต่าง ๆ โบกธงชาติ หรือเพ้นท์สีรูปธงชาติ(ของชาติตนเอง) ไว้ที่ใบหน้า ก็เป็นการแสดงออกถึงความเป็นชนชาตินั้น ก็เป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ผิดแต่อย่างใด)


๕) ศาสนาไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเป็นคนดี แก้ไขปัญหาของสังคมไม่ได้ และไม่ควรนำบทบัญญัติของศาสนามาแก้ไขปัญหาทางสังคมด้วยเพราะบทบัญญัติทางศาสนามีลักษณะบังคับไม่เปิดกว้าง


พิธีกรต้องเข้าใจว่า กฎหมายบ้านเมือง (ซึ่งพิธีกรมีความเห็นว่าเป็นสิ่งที่กำกับให้คนเป็นคนดี) นั้น ก็มีลักษณะบังคับกับคนทุกคนที่อยู่ในอาณาเขตของประเทศนั้นโดยไม่ต้องคำนึงว่าบุคคลนั้นจะยอมรับหรือเห็นด้วยกับบทบัญญัติตามกฎหมายดังกล่าวหรือไม่


และบทบัญญัติของกฎหมายไทยหลายฉบับหลายมาตราล้วนมีรากฐานในทางศีลธรรมทางพระพุทธศาสนา ขอยกตัวอย่างตามประมวลกฎหมายอาญา เช่น มาตรา ๒๘๘ บัญญัติว่า "ผู้ใดฆ่าผู้อื่นต้องระวางโทษ..." ตรงกับศีลข้อที่หนึ่ง มาตรา ๓๓๔ ความผิดฐานลักทรัพย์ ก็ตรงกับศีลข้อที่สอง หรือในเรื่องความผิดเกี่ยวกับเพศในลักษณะ ๙ ก็เข้าหลักเกณฑ์ของการผิดศีลข้อที่สาม หรือมาตรา ๑๓๗ การแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานก็ผิดศีลข้อที่สี่ เป็นต้น


และเราก็ยอมรับกันว่าผู้ที่ปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่ล่วงละเมิดบทบัญญัติของกฎหมายนั้น เป็นพลเมืองดีของสังคม เช่นนี้แล้วจะกล่าวได้อย่างไรว่าศาสนา (โดยเฉพาะพระพุทธศาสนา) ไม่เกี่ยวข้องกับความเป็นคนดี หรือแก้ไขปัญหาของสังคมไม่ได้




และขอถามว่าพิธีกรทราบได้อย่างไรว่าศาสนาแก้ปัญหาของสังคมไม่ได้ มีการทำวิจัยในเรื่องเหล่านี้อย่างเป็นระบบและครบถ้วนแล้วหรือยัง ?




๖) ศาสนาก่อให้เกิดสงครามศาสนา แต่สุราไม่ก่อให้เกิดสงคราม


ประเด็นนี้เป็นการกล่าวโจมตีทุกศาสนา (เพราะพิธีกรใช้คำว่า "ศาสนา" โดยไม่ระบุเฉพาะเจาะจงว่าเป็นศาสนาใด) แบบครอบคลุมทุกเรื่องตั้งแต่ศาสดา จนถึงหลักธรรมคำสอน และศาสนิกชน พิธีกรไม่ได้กล่าวให้ชัดเจนว่าศาสนาก่อให้เกิดสงครามได้จากเหตุใด แท้จริงแล้วพิธีกรควรคิดให้รอบคอบก่อนว่าการเกิดสงครามศาสนานั้นเกิดขึ้นเพราะเหตุใดกันแน่ จากคำสอน หรือจากนักบวช หรือศาสนิกชนบางกลุ่มของศาสนานั้น และถึงแม้ว่าตามประวัติศาสตร์จะเกิดสงครามโดยมีมูลเหตุมาจากการนับถือศาสนาต่างกัน หรือการนับถือศาสนาเดียวกันแต่ต่างนิกายกัน แต่ก็ไม่ปรากฏว่าเคยเกิดสงครามศาสนาอันเนื่องมาจากศาสนาพุทธหรือนิกายของศาสนาพุทธเลย




อนึ่ง ควรกล่าวไว้ในที่นี้ด้วยว่า ศาสนาเองก็มีส่วนในการระงับยับยั้งการก่อสงคราม โดยในกรณีของศาสนาพุทธนั้น ตามพุทธประวัติ พระพุทธเจ้าได้ห้ามทัพพระญาติของพระองค์ไม่ให้ทำสงครามชิงน้ำในแม่น้ำโรหิณีกัน ส่วนกรณีของศาสนาอื่นนั้น มีกรณีที่สงครามโลกครั้งที่ ๑ เกือบจะได้ยุติลงในปีแรกของสงครามอันเนื่องมาจากการที่ทหารของทั้งสองฝ่ายได้ฉลองเทศกาลคริสต์มาส (ชนชาติในยุโรปที่ทำสงครามกันนับถือศาสนาคริสต์) [1]




ส่วนสุรานั้นก็ให้เกิดผลเสียหายตามมามากมาย ทั้งก่อให้เกิดการทะเลาะวิวาท และอุบัติเหตุ จึงต้องมีกฎเกณฑ์ที่จำกัดการดื่มสุราหรือการจำหน่ายสุรา เช่น มาตรา ๔๓ (๒) พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ บัญญัติห้ามมิให้ผู้ขับขี่ขับรถในขณะเมาสุรา เป็นต้น ศีลข้อห้าของศาสนาพุทธ หรือแม้แต่ในศาสนาอิสลามก็มีข้อห้ามมิให้ศาสนิกชนดื่มเหล้า




ข้าพเจ้าจึงไม่ทราบและไม่เข้าใจว่าทำไมพิธีกรถึงเห็นว่าสุราดีกว่าศาสนา




สุดท้ายนี้ ข้าพเจ้าก็ไม่เข้าใจว่าการที่พิธีกรทั้งสองกล่าวโจมตีพระพุทธศาสนา(รวมถึงศาสนาอื่นด้วยในบางประเด็น) นั้นเป็นเพราะเหตุใด เนื่องจากนโยบายและแนวปฏิบัติที่พิธีกรกล่าวโจมตีนั้นก็มีมาเป็นเวลานานแล้ว โดยที่ไม่ปรากฏว่าก่อให้เกิดปัญหาสังคมตามมาแต่ประการใดเลย (หากปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักการและแบบพิธี) พิธีกรทั้งสองน่าจะตรวจสอบตัวเองก่อนว่าได้ปฏิบัติตัวให้เป็นคนดีและทำประโยชน์ให้กับสังคมแล้วหรือยัง ถึงค่อยมาวิพากย์วิจารณ์ผู้อื่น




เห็นด้วยกับข้าพเจ้าไหมครับ


หมายเหตุ




[2] ข้อมูลบทบัญญัติของกฎหมายนั้น ข้าพเจ้านำมาจากเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น