วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2556

พุทธธรรมคุ้มครองโลก : พระพุทธศาสนาคู่ประชาธิปไตย




            ๑) พระพุทธศาสนาอยู่คู่กับคนไทยและสังคมไทยมาเป็นเวลานับพันปีแล้ว บรรพบุรุษของเราทั้ง
พระเจ้าแผ่นดินและประชาชนต่างนับถือพระพุทธศาสนา โดยให้ความเคารพต่อพระพุทธ พระธรรม
พระสงฆ์ นำหลักธรรมมาใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน เข้าวัดฟังธรรมและเข้าร่วมในพิธีกรรมต่าง ๆ ในทางพระพุทธศาสนา สังคมไทยในสมัยโบราณจึงเป็นสังคมที่ผูกพันกับพระพุทธศาสนา
 
           ๒) หลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนาสอนให้บุคคลทั้งหลายละเว้นความชั่ว ทำความดี และทำจิตใจให้บริสุทธิ์ สอนในเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญา สอนไม่ให้เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น สอนในเรื่องพรหมวิหาร และสอนในเรื่องของความเอิ้อเฟื้อเผื่อแผ่ ในส่วนของธรรมะสำหรับผู้ปกครอง ก็มีเรื่องของทศพิธราชธรรม จักรวรรดิวัตร  เป็นต้น สังคมไทยในสมัยโบราณจึงเป็นสังคมที่สงบสุข และเป็นสังคมที่ผู้คนเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม จนเคยได้รับการขนานนามมา เป็นสยามเมืองยิ้ม มาแล้ว
 
           ๓) เมื่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยมีเป้าหมายเพื่อสร้างการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน การปกครองในระบอบนี้จึงได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองให้มากที่สุด และจำกัดการใช้อำนาจของฝ่ายบริหารประเทศไม่ให้ใช้อำนาจจนเกินขอบเขต
 
        ๔) เช่นเดียวกับการปกครองในระบอบอื่น การปกครองในระบอบประชาธิปไตยก็มีเป้าหมายเพื่อสร้างสังคมที่มีความเจริญก้าวหน้า มีความสงบสุขและมีความเป็นธรรม  ผู้บริหารประเทศจึงมีหน้าที่ต้องบริหารประเทศโดยอาศัยหลักธรรม หลักกฎหมาย บริหารประเทศด้วยความเอาใจใส่ ให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชน ในขณะเดียวกันประชาชนในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมก็มีหน้าที่ที่จะต้องประพฤติตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม มีส่วนร่วมในการปกครองและตรวจสอบการใช้อำนาจปกครอง ปฏิบัติตามกฎหมายที่ออกมาโดยถูกต้องและมีความเป็นธรรม เสียภาษีอากร เป็นทหารรับใช้ประเทศชาติ เป็นต้น

        ๕) มีนักวิชาการหลายคนที่คัดค้านไม่ให้มีการบัญญัติรับรองให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติไว้ในรัฐธรรมนูญ และยังมีอีกหลายท่านที่มีความเห็นว่าควรจะแยกศาสนาพุทธออกจากการเมืองการปกครอง (โปรดดูบทความสัมภาษณ์ อ.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ : อุดมการณ์รัฐและพุทธศาสนากับประชาธิปไตย - http://blogazine.in.th/blogs/buddhistcitizen/post/4054 และบทความอื่นในบล็อกของกลุ่มพุทธศาสน์ของราษฎร(buddhistcitizen)) ซึ่งข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยกับนักวิชาการทั้งหลายเหล่านี้ เนื่องจากหลักธรรมทางพระพุทธศาสนานั้นสามารถนำมาใช้กับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยได้        
















 
        ๖) การนำหลักธรรมในทางพระพุทธศาสนามาใช้กับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยจะเสริมให้ระบอบประชาธิปไตยเป็นการปกครองที่มีความเป็นธรรมมากที่สุด ตัวอย่างของหลักธรรมในทางพระพุทธศาสนาที่สามารถนำมาใช้ควบคู่กับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยได้ ได้แก่



                -พรหมวิหารธรรม ทศพิธราชธรรมและจักรวรรดิวัตร เป็นหลักธรรมที่กำกับให้ผู้ทำหน้าที่บริหารประเทศปกครองประเทศด้วยความเป็นธรรม ด้วยเหตุด้วยผล และด้วยสันติวิธี  มีไมตรีต่อประชาชน

                -กุศลกรรมบท ๑๐ เป็นหลักธรรมที่คอยกำกับไม่ให้ผู้บริหารประเทศกระทำหรือพูดในสิ่งที่ก่อให้เกิดผลร้ายต่อสังคม ยกตัวอย่างเช่น หากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพูดจาแต่ในสิ่งที่เป็นความจริง พูดแต่ในสิ่งที่มีประโยชน์ เป็นไปตามหลักวิชา ใช้วาจาที่สุภาพ ไม่ใช้วาจาส่อเสียดในการประชุมรัฐสภา รวมความว่าเป็นการปฏิบัติตามวจีสุจริต ประชาชนก็จะได้รับประโยชน์จากการทำหน้าที่ของนักการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งมา
                -ขันติ โสรัจจะ เป็นหลักธรรมในทางพระพุทธศาสนาที่เหมาะสมกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยมาก เนื่องจากในการปกครองระบอบประชาธิปไตยนั้น จะต้องถือตามฝ่ายเสียงข้างมาก ในขณะที่ให้ความเคารพต่อการตัดสินใจและให้ความคุ้มครองฝ่ายเสียงข้างน้อย และรู้จักการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี ซึ่งสิ่งเหล่านี้จักต้องอาศัยความอดทนอดกลั้นและความสงบเสงี่ยมเป็นอย่างมาก ความขัดแย้งทางการเมืองทั้งหลายในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ทั้งในกรณีของเหตุการณ์สังหารหมู่เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๙ การสลายการชุมนุมเมื่อช่วงเดือนพฤษภาคมปี พ.ศ. ๒๕๓๕ และปี                  พ.ศ. ๒๕๕๓ ตลอดจนเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมทางการเมืองทั้งหลายเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๑ นั้น เป็นเพราะผู้คนในสังคมไทยขาดหลักธรรมทั้งสองประการนั่นเอง 
              -ฆราวาสธรรมและเบญจศีลเบญจธรรม เป็นหลักธรรมสำหรับผู้บริหารประเทศทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ  ฝ่ายปกครองและประชาชนให้ดำเนินการในทางการเมืองด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ด้วยความอดทนอดกลั้น ด้วยความเสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกันในทางการเมือง ไม่ใช่เล่ห์เหลี่ยมในการดำเนินการทางการเมืองการปกครอง ในขณะที่ประชาชนก็ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ซื้อสิทธิขายเสียง เป็นต้น
              -อปริหานิยธรรม หลักธรรมที่ส่งเสริมในเรื่องของการปกครองแบบสามัคคี มีวินัย ให้ความเคารพต่อผู้ใหญ่ สตรี และตัวบทกฎหมาย ซึ่งสอดคล้องกับหลักการในการปกครองระบอบประชาธิปไตยซึ่งให้ความสำคัญกับมนุษย์และหลักนิติรัฐ
              -มงคลสูตร เป็นหลักธรรมอีกชุดหนึ่งที่สามารถนำมาใช้ในการปกครองในระบอบนี้ได้  เช่น
  • การไม่คบคนพาล และการคบหาบัณฑิต ก็สามารถนำมาใช้ในการเลือกตั้งได้ โดยไม่เลือกคนที่มีความประพฤติเป็นคนพาลให้เป็นผู้แทนของประชาชน หรือผู้แทนในท้องถิ่น แต่ให้เลือกคนที่มีความซื่อสัตย์สุจริต มีความรู้ความสามารถ และมีความเสียสละไปทำหน้าที่ในการบริหารประเทศ  

  • การมีวินัยสำหรับประชาชนและผู้บริหารประเทศในการเคารพในปฏิบัติตามกฎหมายที่ออกมาโดยถูกต้องและมีความเป็นธรรม จะช่วยให้ผู้คนในสังคมเป็นผู้ที่ยึดมั่นในระเบียบแบบแผน และเป็นการส่งเสริมความเสมอภาคในทางกฎหมาย อันสอดคล้องกับหลักนิติรัฐอีกด้วย

  • การทำงานโดยไม่คั่งค้างอากูล เหมาะสำหรับผู้บริหารประเทศที่มีภารกิจมากมายที่จะต้องจัดการให้เสร็จทั้งนี้ก็เพื่อความเจริญของประเทศชาติ และเพื่อความสุขของประชาชนนั่นเอง

               -อคติ ๔ เป็นมาตรที่ประชาชนสามารถใช้ในการตัดสินได้ว่าการดำเนินการทางการเมือง
ทั้งการตรากฎหมาย (ฝ่ายนิติบัญญัติ) การบริหารประเทศของฝ่ายรัฐบาล และการวินิจฉัยอรรถคดีของศาล (ฝ่ายตุลาการ) และการทำหน้าที่ขององค์กรอิสระทั้งหลาย ว่าเป็นไปด้วยความเที่ยงธรรมหรือไม่


 


              -ฯลฯ



       ๗) ดร.ปรีดี พนมยงค์ หนึ่งในคณะผู้เปลี่ยนแปลงการปกครองได้เคยกล่าวสุนทรพจน์ในรัฐสภามีใจความตอนหนึ่งที่กล่าวไว้ว่า "...ระบอบประชาธิปไตยนั้น  เราหมายถึงประชาธิปไตยอันมีระเบียบตามกฎหมายและศีลธรรม และความซื่อสัตย์สุจริต   ไม่ใช่ประชาธิปไตยอันไม่มีระเบียบ  หรือประชาธิปไตยที่ไร้ศีลธรรม  เช่น  การใช้สิทธิเสรีภาพอันมีแต่จะให้เกิดความปั่นป่วน  ความไม่สงบเรียบร้อย  ความเสื่อมศีลธรรม  ระบอบชนิดนี้เรียกว่า  อนาธิปไตย  หาใช่ประชาธิปไตยไม่ ...ระบอบประชาธิปไตยจะมั่นคงอยู่ได้ ต้องประกอบด้วยกฎหมาย ศีลธรรม และความซื่อสัตย์สุจริต  หรือในครั้งโบราณกาลเรียกว่าการปกครองโดยสามัคคีธรรม   การใช้สิทธิโดยไม่มีขอบเขตภายใต้กฎหมายหรือศีลธรรม  หรือใช้สิทธิโดยไม่สุจริต   ไม่ใช่หลักของประชาธิปไตย... " [๑]  ซึ่งได้กล่าวมาแล้วว่าหลักธรรมทางพระพุทธศาสนานั้นก็มีเรื่องของศีลและเรื่องของความซื่อสัตย์สุจริตอยู่ด้วย
 






       ๘) ในตราของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่ก่อตั้งขึ้นหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ก็เป็นรูปธรรมจักรคู่กับพานรัฐธรรมนูญ อันแสดงให้เห็นถึงการใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาควบคู่กับการปกครองโดยอาศัยกฎหมาย ซึ่งจะแยกจากกันไม่ได้นั่นเอง [๒]







 
         ๙) จากที่อธิบายมาข้างต้นแสดงให้เห็นว่า หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสังคมหรือเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้าม
พระพุทธศาสนานั้นมีหลักธรรมที่ส่งเสริม
สนับสนุนการปกครองด้วยความเป็นธรรม ด้วยสันติวิธี ด้วยกฎหมายที่มีความเป็นธรรมและด้วยการให้ความสำคัญต่อมนุษย์ทุกคน อันสอดคล้องกับหลักนิติรัฐ 
หลักสิทธิมนุษยชน 
ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และหลักความเสมอภาค ซึ่งเป็นหลักการที่สำคัญในการปกครองระบอบประชาธิปไตยนั่นเอง  ดังนั้น การบัญญัติให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติก็ดี การออกกฎหมายเพื่อปกป้องคุ้มครองและส่งเสริมพระพุทธศาสนาก็ดี จึงเป็นสิ่งที่กระทำได้
 
        ๑๐) เมื่อหลักธรรมในทางพระพุทธศาสนานั้นส่งเสริม สนับสนุนการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ผู้ที่เลื่อมใสในการปกครองระบอบประชาธิปไตย จึงควรสนับสนุนให้พระพุทธศาสนาได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ และกฎหมายต่าง ๆ และควรสนับสนุนให้มีการนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามาใช้ควบคู่กับหลักนิติรัฐ หลักสิทธิมนุษยชน และหลักความเสมอภาค เพื่อให้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยเป็นการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน โดยแท้จริง


อ้างอิง

[๑]  วรรคสอง ของสุนทรพจน์ของนายปรีดี  พนมยงค์ แสดงในสภาผู้แทนราษฎร   วันที่  ๗  พฤษภาคม  ๒๔๘๙ , เอกสารทางราชการของกรมโฆษณาการ  ๘  พ.ค.  ๒๔๘๙

http://www.pridiinstitute.com/autopage/show_page.php?h=11&s_id=12&d_id=12


 [๒] ดูความหมายของตราธรรมศาสตร์ได้ในสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัย  http://th.wikipedia.org/wiki/มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์





































 

          





วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2556

วาทะสะกิดใจ ตอน ประชาธิปไตย กฎหมาย และศีลธรรม



...ระบอบประชาธิปไตยจะมั่นคงอยู่ได้ต้องประกอบด้วยกฎหมาย ศีลธรรม และความซื่อสัตย์สุจริต หรือในครั้งโบราณกาลเรียกว่าการปกครองโดยสามัคคีธรรม การใช้สิทธิโดยไม่มีขอบเขตภายใต้กฎหมายหรือศีลธรรมหรือใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ไม่ใช่หลักของประชาธิปไตย...

                                                          บางตอนจาก สุนทรพจน์ของนายปรีดี พนมยงค์ (ย่อหน้าที่สอง
                                                          บรรทัดที่ ๗ - ๙)
                                                          แสดงในสภาผู้แทนราษฎร วันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๔๘๙
                                                          เอกสารทางราชการของกรมโฆษณาการ ๘ พฤษภาคม ๒๔๘๙(๑)


            เป็นที่ยอมรับกันในปัจจุบันว่า การปกครองในระบอบประชาธิปไตย คือ การปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน 
การปกครองในระบอบนี้ เป็นการปกครองที่จำกัดการใช้อำนาจของฝ่ายบริหารปกครองประเทศ โดยการแยกอำนาจอธิปไตยออกเป็น ๓ ฝ่าย จำกัดระยะเวลาการดำรงตำแหน่งของฝ่ายรัฐบาล สร้างระบบในการควบคุมตรวจสอบการทำงานของแต่ละฝ่ายและในขณะเดียวกันก็รับรองสิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนมากกว่าการปกครองในระบอบอื่น อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีการให้เสรีภาพแก่ประชาชนอย่างกว้างขวาง แต่การปกครองในระบอบประชาธิปไตยนี้ก็มิได้ให้ประชาชนมีเสรีภาพโดยไม่มีขอบเขตเอาเสียเลย การจำกัดสิทธิเสรีภาพเพื่อป้องกันการกระทำตามอำเภอใจนั้น ยังคงมีอยู่ โดยปรากฏอยู่ในรูปของกฎหมายประการหนึ่ง และปรากฏอยู่ในรูปของศีลธรรมอีกประการหนึ่ง
 
สังคมประชาธิปไตยต้องมีกฎหมาย
 
              มีภาษิตกฎหมายที่บอกว่า "ที่ใดมีสังคม ที่นั่นมีกฎหมาย" (Ubi Societas Ibi Jus)(๒) ทั้งนี้ เพราะว่ากฎหมายนั้น เป็นกติกาสำหรับควบคุมพฤติกรรมของบุคคลในสังคมไม่ให้ล่วงละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น หากสังคมใดไม่มีกติกาสำหรับการอยู่ร่วมกัน สังคมนั้นก็จะเต็มไปด้วยบุคคลซึ่งมีการกระทำที่เอาแต่ได้โดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของบุคคลอื่น และเต็มไปด้วยความประพฤติที่ไม่มีหลักเกณฑ์ที่แน่นอน ซึ่งจะค่อย ๆ กัดกร่อนสังคมจนทำให้สังคมนั้นถึงคราวล่มสลายลงในที่สุด กฎหมายจึงมีความจำเป็นสำหรับสังคมทุกสังคม ยิ่งในสังคมประชาธิปไตยด้วยแล้ว ยิ่งจำเป็นต้องมีกฎหมาย เพราะถือการปกครองโดยหลักนิติรัฐ (Rechtsstaat) และนิติธรรม  (Rule of Law) ไม่ใช่ถือหลักการกระทำตามอำเภอใจ

             แต่ทั้งนี้  กฎหมายที่จะเหมาะสมกับสังคมประชาธิปไตยนั้นก็จะต้องผ่านกระบวนการตรากฎหมายอย่างถูกต้องตามขั้นตอนตามกฎหมาย ไม่มีเนื้อหาที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญอันถือเป็นกฎหมายสูงสุด และจะต้องเป็นกฎหมายที่มีความเป็นธรรมด้วย
          และเมื่อมีกฎหมายที่มีความเหมาะสมกับสังคมประชาธิปไตยแล้ว ผู้คนในสังคมนั้นทั้งประชาชนก็ดี หรือผู้บริหารบ้านเมืองก็ดี ก็มีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าว เพื่อความสงบเรียบร้อยในสังคม
   
สังคมประชาธิปไตยต้องมีศีลธรรม

         เนื่องจากหลักในทางศีลธรรมนั้นเป็นหลักปฏิบัติสำหรับการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขในสังคมคล้ายกับกฎหมาย และยังเป็นที่มาของกฎหมายประการหนึ่งด้วย(๓) สังคมที่ผู้คนปฏิบัติตามหลักศีลธรรมย่อมเป็นสังคมที่สงบสุข เพราะทุกคนจะไม่ล่วงละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น ไม่ก่อความวุ่นวายให้กับสังคม
ไม่ทำการทุจริตคดโกง ฉ้อราษฎร์บังหลวง ไม่ใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหา ไม่ใส่ร้ายป้ายสีกัน ไม่เพิกเฉยในความทุกข์ของบุคคลอื่น ไม่เลือกคนพาลมาเป็นผู้บริหารประเทศ และมีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม การนำหลักเกณฑ์ในทางศีลธรรม โดยเฉพาะศีลธรรมในทางพระพุทธศาสนา เช่น เบญจศีล เบญจธรรม   กุศลกรรมบท สังคหวัตถุธรรม   ฆราวาสธรรม มาบังคับใช้ในสังคมประชาธิปไตยย่อมเป็นการช่วยให้สังคมประชาธิปไตยมีความผาสุกร่มเย็นด้วยเหตุผลดังกล่าวมาข้างต้น  ดังนั้น แนวคิดที่ให้แยกหลักศีลธรรมหรือศาสนาออกจากการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยก็ดี แนวคิดในการลดหรือไม่ให้ความสำคัญกับหลักศีลธรรมและศาสนาโดยอ้างว่าเป็นการขัดต่อหลักเสรีภาพและหลักประชาธิปไตยก็ดี จึงเป็นแนวคิดที่แปลกประหลาด

การใช้สิทธิโดยไม่มีขอบเขตหรือใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ไม่ใช่หลักของประชาธิปไตย
 
             ทั้งนี้ เพราะสิทธินั้นเป็นประโยชน์ที่บุคคลมีความชอบธรรมที่จะได้รับซึ่งกฎหมายรับรองให้(๔) กล่าวคือ สิทธินั้นจะต้องเป็นความชอบธรรม เป็นความถูกต้อง ถ้าหากการกระทำที่เป็นการใช้สิทธิในสิ่งที่กฎหมายไม่ได้รับรองก็ดี หรือใช้สิทธิโดยวิธีการที่ไม่ชอบธรรมแล้ว (อันอาจถือว่าไม่มีสิทธิ)(๕)  การกระทำดังกล่าวย่อมจะก่อให้เกิดผลเสียหายต่อส่วนรวมเป็นอย่างมาก ตัวอย่างเช่น กลุ่มบุคคลที่ใช้สิทธิในการชุมนุมประท้วงโดยไม่สนใจวิธีการ สถานที่ หรือระยะเวลา ทำการปิดถนนประท้วงตลอดเวลา ใช้เครื่องขยายเสียงปราศัยด้วยถ้อยคำหยาบคายอยู่ตลอดเวลา ย่อมทำให้บุคคลอื่นที่ไม่ได้เข้าร่วมประท้วงได้รับความเดือดร้อน เป็นการใช้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย เป็นต้น ซึ่งการใช้สิทธิโดยไม่มีขอบเขตหรือการใช้โดยไม่สุจริตนี้ย่อมไม่ส่งเสริมให้ประชาชนมีความรับผิดชอบต่อสังคม หรือเคารพในสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่น และเป็นการสร้างภาระให้กับสังคม ซึ่งขัดกับหลักการและแนวคิดในระบอบประชาธิปไตยซึ่งถือเอาประโยชน์ของประชาชนเป็นเป้าหมายหลัก

สรุป

        ในสังคมประชาธิปไตยนั้นประชาชนจักต้องมีสิทธิและเสรีภาพ แต่สิทธิและเสรีภาพดังกล่าวก็จักต้องมีขอบเขตโดยอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ของกฎหมายที่ตราขึ้นโดยถูกต้องตามระบบของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยและมีความเป็นธรรม และต้องอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ของศีลธรรมด้วย หากสังคมใดที่มีแต่บุคคลที่ใช้สิทธิและเรียกร้องหาแต่เสรีภาพโดยไม่ยอมปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว ย่อมเป็นการขัดต่อหลักการของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่ถือว่าบุคคลทุกคนมีความเสมอภาคกันในสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย(๖)  ดังนั้น ประชาชนในสังคมประชาธิปไตยจึงต้องเคารพและปฏิบัติตามกฎหมายและหลักของศีลธรรมอันดี เพื่อให้สังคมมีความสงบสุขร่มเย็นและก้าวหน้านั่นเอง


อ้างอิง

(๑) http://www.pridiinstitute.com/autopage/show_page.php?h=11&s_id=12&d_id=12

(๒) สมยศ เชื้อไทย,ผศ. คำอธิบายวิชากฎหมายแพ่ง : หลักทั่วไป เล่ม . พิมพ์ครั้งที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๔๓ บทที่ ๑ ,หน้า  ๓๓.

(๓) เพิ่งอ้าง บทที่ ๑ ส่วนที่ ๒ จากศีลธรรมไปสู่กฎหมาย หน้า ๔๑ - ๔๔.

(๔) อ้างแล้ว (๒) บทที่ ๖ ส่วนที่ ๑ ความหมายของสิทธิ หน้าที่และคำอื่น ๆ ที่คล้ายคลึง หน้า ๑๒๑.

(๕) โปรดดูมาตรา ๔๒๑ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
 
(๖) มาตรา ๓๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช  ๒๕๕๐