วันเสาร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2557

แคทเทิน ภาค อวสานแห่งมหาสงคราม : บทนำ : พลังแห่งคริสตัล



ท่านผู้อ่านทั้งหลาย ท่านเคยคิดบ้างไหมว่า คนเพียงคนเดียวจะทำให้เกิดสงครามได้หรือไม่ ?

แล้ว คนเพียงคนเดียวจะหยุดยั้งสงครามได้หรือเปล่า ?


แล้วท่านคิดว่าคนที่มาจากชนชาติเล็ก ๆ อย่าง ไทย ศรีลังกา จะมีบทบาทในการหยุดยั้งสงครามที่เหล่าชาติมหาอำนาจทั้งหลายก่อขึ้นได้หรือไม่ ?


เราลองมาติดตามเรื่องราวของคนไทยและคนศรีลังกาที่ได้ออกผจญภัยไปในห้วงอวกาศอันไกลโพ้นเพื่อหยุดยั้งสงครามระหว่างมหาอำนาจทั้งสี่แห่งจักรวาลกันเถอะ


แล้วท่านจะได้คำตอบว่า คนกลุ่มเล็ก ๆ นี้แหละที่เป็นจุดเริ่มต้นสู่การสร้างสันติภาพ



*****
           ในสถานที่อันเวิ้งว้างห่างไกลจากผู้คน ยังมีถ้ำแห่งหนึ่งซึ่งผู้ที่ได้มาเยือนจักต้องตะลึงในความงดงามของมัน  ภายในถ้ำแห่งนั้นมีอัญมณีที่มีค่าอยู่มากมายหลายชนิด แต่สิ่งที่ทำให้ถ้ำนั้นสวยงามคือ คริสตัลซึ่งส่องแสงระยิบระยับดุจหมู่ดาราบนท้องนภายามค่ำคืน ทั้งคริสตัลในถ้ำนั้นเล่าก็ไม่ได้มีแค่สีเดียว แต่มีอยู่หลายสีหลายชนิด บางชนิดก็มีสีเหลืองอำพัน บางชนิดนั้นให้สีฟ้าเทอร์ควอยซ์ บางชนิดก็ส่องแสงสีเขียวมรกต เหล่านี้เป็นต้น

      แม้จะอยู่ห่างไกลจากผู้คนก็จริง แต่ที่ลานกว้างใจกลางถ้ำแห่งนี้ก็ปรากฏว่ามีอนงค์นางหนึ่งซึ่งมีร่างสูงระหงกำลังร่ายรำอยู่เบื้องหน้าเหล่าคริสตัลหลากสี ข้างกายของหล่อนนั้น มีโต๊ะซึ่งมีเครื่องเซ่นสรวงบูชา ประกอบไปด้วยอาหารนานา ทั้งมังสะ มัจฉา แลผลหมากรากไม้ มีกำยาน เครื่องหอม และเชิงเทียนที่จุดไฟแล้ววางอยู่  ในขณะที่กำลังร่ายรำนั้น เธอก็เอ่ยคำร้องขอขึ้นเป็นระยะ ๆ ว่า

           "ข้าแต่เหล่าเทวา ซึ่งทรงฤทธา ข้าขอบูชาท่านด้วยลีลาการเต้นรำ

          ขอท่านโปรดนำความสุขมาให้ ทั้งแก่ผู้ใหญ่และต่อผู้เยาว์ ทั้งต่อหญิงสาว แลชายฉกรรจ์

           โอท่านเทวีซึ่งรักษาถ้ำนี้ ได้โปรดช่วยที ให้ข้านี้มีพลัง ..."

หลังจากที่ร่ายรำและร้องขอไปได้ราวสี่สิบห้านาที ก็มีเสียงตอบรับกลับมาว่า

           "เราได้ยินท่านแล้ว ท่านต้องการสิ่งใดฤาท่านผู้สูงศักดิ์"

           หญิงสาวหยุดร่ายรำแล้วตอบไปว่า

           "ข้าต้องการพลังจากเหล่าคริสตัลในถ้ำแห่งนี้"

           "ท่านจะนำพลังที่ได้ไปใช้เพื่อการใดฤา?"

           "ข้าจะนำไปใช้เพื่อค้นหาบุคคลที่เหมาะสม"

           "อีกแล้วหรือ นี่เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วที่ท่านเพียรตามหาคนเหล่านั้น"

           "ข้าจำเป็นต้องตามหาคนเหล่านั้น เพื่อขอให้พวกเขาได้ช่วยหยุดยั้งสงครามนี้เสียที"
       
            "แล้วท่านคิดว่าจะเจอคนเหล่านั้นหรือ แล้วถ้าเจอแล้วคิดว่าคนเหล่านั้นจะยอมช่วยตามที่ท่านร้องขอหรือ?"

          "เรื่องนั้นข้าไม่รู้หรอก แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย ข้าไม่อยากอยู่เฉย ๆ แล้วปล่อยให้ผู้คนต้องล้มตายลงโดยเปล่าประโยชน์"

           "..."

           "ขอให้ท่านได้โปรดพิจารณาด้วยเถิด ท่านเทพผู้รักษาถ้ำ"

          หลังจากเงียบไปซักสามนาที เทพผู้รักษาถ้ำก็ตอบกลับมาว่า

           "ถ้าอย่างนั้นก็ได้ ข้าจะมอบพลังให้แก่ท่านเอง องค์เอมเปรส"

          สิ้นเสียงขององค์เทพผู้รักษาถ้ำ แสงจากคริสตัลทั้งหลายก็ยิ่งเปล่งประกายระยิบระยับ สายพลังสองสาย หนึ่งสีเหลืองอำพัน หนึ่งสีฟ้าเทอร์ควอยซ์ก็หมุนวนออกจากถ้ำพุ่งเข้าสู่ดวงตาทั้งสองข้างของเอมเปรสทันที เมื่อแสงจางหายไป นัยน์ตาสีเขียวขององค์เอมเปรสก็เปลี่ยนไปกลายเป็นตาสีฟ้าข้างหนึ่ง และตาสีเหลืองอำพันอีกข้างหนึ่ง

           องค์เอมเปรสเพ่งมองไปข้างหน้า สิ่งที่พระองค์เห็นก็ไม่ใช่ผนังถ้ำที่เต็มไปด้วยคริสตัลอีกต่อไป แต่กลายเป็นดาวเคราะห์สีฟ้าสดใสดวงหนึ่งในห้วงจักรวาล เมื่อทรงเพ่งมองไปอีกครั้งดาวเคราะห์ดวงนั้นก็ลอยเข้ามาใกล้พระองค์ทุกขณะ แล้วดินแดนแห่งหนึ่งในดาวดวงนั้นซึ่งมีรูปเป็นขวานทองก็เปล่งแสงขึ้น เมื่อเพ่งมองเข้าไปอีกครั้ง ครานี้พระองค์ก็ได้พบกับชายคนหนึ่งซึ่งกำลังนั่งดูภาพยนตร์อยู่ ก่อนที่ภาพจะตัดไปยังสถานที่อีกแห่งหนึ่งซึ่งมีนักศึกษากลุ่มหนึ่งกำลังนั่งจดเล็กเชอร์อยู่อย่างขะมักเขม้น ถึงตอนนี้พระองค์ก็เจอคนที่ต้องการแล้ว

           "เซริน"

           "ฝ่าบาทมีอะไรให้หม่อมฉันรับใช้เพคะ"

           "ข้ามีภารกิจให้เจ้าทำ"

           "เพคะ"

วันเสาร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2557

นิยายลา ฟลอร่า ตอน การเดินทางของซากุระ (๑)



                อากาศยามเช้าวันเสาร์ต้นเดือนเมษายนที่โรงเรียน ลา ฟลอร่า ช่างสดใสนัก เนื่องจากเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้ว   พฤกษชาตินานาพันธุ์เริ่มออกดอกบานสะพรั่ง  กิ่งของต้นซากุระจำนวน ๓ ต้น ที่ทางผู้อำนวยการโรงเรียนได้รับมาจากรัฐบาลญี่ปุ่นพลิ้วไหวตามแรงลมที่พัดมา เด็กหญิงชาวญี่ปุ่นซึ่งมีผมสีเขียวและนัยน์ตาสีเหลืองอ่อนยืนมองดอกสีชมพูด้วยความสุขใจ ก่อนที่เธอจะฮัมเพลงออกมา


"Hana wa hana wa hana wa saku



itsuka umareru kimi ni



hana wa hana wa hana wa saku..."




"watashi wa nani wo nokoshita darou"




เสียงเพลงท่อนนี้ได้รับการต่อให้จบด้วยเสียงของเด็กชายจากโรงเรียนโนอาห์คนหนึ่ง


"อ้าวคุณคริสโตเฟอร์ มาแล้วเหรอเจ้าคะ แล้วคุณอินทิราล่ะเจ้าคะ"  ฟูจิวาระ ยูริ กล่าวกับเด็กชายผู้มี

นามว่าคริสโตเฟอร์


"ยังไม่เห็นเลย นี่ก็ได้เวลาตามที่นัดกันไว้แล้วนา" คริสโตเฟอร์กล่าวตอบ


"หวังว่าคงไม่ช้ามากนักนะเจ้าคะ เราจะได้รีบดำเนินโครงการเสียที"


"แล้วยูคิดโครงการออกบ้างหรือยังล่ะยูริ เอาคร่าว ๆ ก่อนก็ได้"


"ยังไม่ได้คิดเลยเจ้าค่ะ" ยูริส่ายหน้า


โครงการที่ว่านี้ คือ  โครงการสวนจำลองแห่งชุมชน พันธุ์ไม้ และสายน้ำ มีความเป็นมาดังนี้


*****

ย้อนไปเมื่อเช้าวันพฤหัสบดีที่หอประชุมโรงเรียนลา ฟลอร่า มีการประชุมร่วมกันระหว่างนักเรียน


คลาสพริ้นเซสจากโรงเรียนลา ฟลอร่า และนักเรียนคลาสพริ้นซ์จากโรงเรียนโนอาห์  ครูมารีได้ขึ้นไป


กล่าวถึงโครงการนี้ให้นักเรียนทั้งสองโรงเรียนฟัง



"เลดี้แอนด์เจนเทิลเม้นท์ทั้งหลาย วันนี้ครูมีเรื่องสำคัญจะประกาศ  แต่ก่อนอื่นขอเชิญเลดี้ทิวาช่วยกรุณา

อธิบายให้พวกเราฟังหน่อยได้ไหมคะว่าแม่น้ำที่สำคัญของโลกมีแม่น้ำสายอะไรบ้าง" 


ทุกคนหันไปจ้องทิวาที่สะลึมสะลือลืมตาตื่นขึ้นมาทันทีที่ครูมารีประกาศจบ  ด้วยความที่ยังไม่หายง่วง

เธอจึงตอบออกไปว่า


"ไบคาลค่ะ" เรียกเสียงหัวเราะลั่นห้องประชุม  ที่เธอตอบไปแบบนี้ ก็เพราะเมื่อคืนที่ผ่านมา 


(คือ คืนวันพุธ) เธอได้ดูสารคดีเกี่ยวกับทะเลสาบไบคาลอันน่าทึ่งนั่นเอง (ทิวาดูสารคดีด้วย!) 


"นั่นเป็นทะเลสาบค่ะ ครูต้องการทราบชื่อของแม่น้ำนะคะ" ครูมารีกล่าวอย่างอดกลั้น


"แคสเปียนค่ะ" นักเรียนเกือบทุกคนหัวเราะกันอีกครั้ง


"เลดี้ทิวาคะ พอจะบอกได้ไหมคะว่าน้ำบ่อน้อยคืออะไร"  ครูมารีเปลี่ยนคำถาม


"หมายถึงน้ำลายค่ะ" ทิวาตอบออกไปได้อย่างถูกต้อง


"ถูกต้องค่ะ  แล้วถ้าน้ำบ่อน้อยที่ว่ารั่วไหลออกไป เลดี้จะทำอย่างไรคะ" ครูมารีเน้นเสียงตอนท้าย

ทิวาทำหน้าฉงน 


"นี่ ๆ ลื๊อไม่รู้ตัวเลยเหรอว่าน้ำลายลื๊อหยดใส่หัวอานาซิสซ่าน่ะ"  เหมยฮัวสะกิดให้ทิวาดูนาซิสซ่า


ที่กำลังกัดฟันกรอด ๆ อยู่ บนหัวของเธอมีหยดน้ำอยู่สองสามหยด หลายคนหัวเราะกับพฤติกรรมของ

ลิงกังที่ทำกับกิ้งก่า


"สงสัยคงต้องหักคะแนนทั้งชั้นแล้วกระมังคะ" ครูมารีเอ่ยอย่างเฉียบขาด เสียงหัวเราะหยุดลงทันที


"อะแฮ่ม! เป็นที่ทราบกันดีว่าในช่วงนี้ของทุกปีเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ ทางโรงเรียนของเราจะจัดงาน

เทศกาลฮานามิและ yozakura ขึ้น โดยในวันงานก็จะมีการจัดประกวดผลงานของนักเรียนในแต่ละชั้นปีตามที่ทางครูบาอาจารย์ของโรงเรียนได้วางคอนเซ็ปต์ไว้  ซึ่งทางคณะครูได้ประชุมปรึกษากันแล้วเห็นว่าในปีนี้เราจะใช้คอนเซ็ปต์ว่า ชุมชน พันธุ์ไม้ และสายน้ำ  ให้นักเรียนคลาสพริ้นเซสของโรงเรียนลา 

ฟลอร่าจับกลุ่มกับนักเรียนคลาสพริ้นซ์ของโรงเรียนโนอาห์กลุ่มละ ๓ คน ทำสวนจำลองให้ตรงตาม


คอนเซ็ปต์ที่ว่าให้เสร็จภายในวันที่จัดงานเทศกาลนะคะ"  


ทุกคนมีเวลาเพียงแค่ศุกร์หน้าเท่านั้น


*****

"ดอกซากุระสวยจังเลยนะเจ้าคะ" 


"ไอเห็นด้วยกับยูนะยูริ" คริสโตเฟอร์ตอบพลางล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อหยิบการ์ดออกมาชุดหนึ่ง


"การ์ดกัปตัน C.L.O.C.K. ชุดใหม่น่ะ"  คริสโตเฟอร์ว่าพลางยื่นการ์ดออกไปให้ยูริที่กำลังจะเอื้อมมือ

มาหยิบ แต่แล้วเขาก็ชักมือกลับ


"นี่ยูริ กัปตัน C.L.O.C.K. น่ะอยากดูซากุระมากเลยนะแต่เขาไม่มีเงินไปที่ญี่ปุ่นน่ะ ทำไงดีน้า" 


คริสโตเฟอร์ทำหน้าสงสัย 



'ทดสอบความรู้เหรอเจ้าคะ' ยูริรู้จักคริสโตเฟอร์ดีพอที่จะรู้ว่าเขากำลังทดสอบภูมิปัญญาของเธออยู่


เธอยิ้มกรุ้มกริ่มแล้วเริ่มตอบคำถาม


"ถึงประเทศญี่ปุ่นจะมีชื่อเสียงในเรื่องสถานที่ชมดอกซากุระ แต่ที่แห่งอื่นก็มีดอกซากุระให้ชื่นชม

เหมือนกันนะเจ้าคะ"


"ที่ไหนบ้างล่ะ?" คริสโตเฟอร์ถาม



"ก็ที่สวนสาธารณะ Branch Brook ในนิวเจอร์ซีย์ หรือจะเป็นที่สวนพฤกษศาสตร์ Brooklyn Botanic 

Garden ในเมืองนิวยอร์ก หรือจะเป็นที่สวนสาธารณะ West Potomac ในวอชิงตัน ดี. ซี. ก็ได้นะเจ้าคะ 


หรือถ้ากัปตัน C.L.O.C.K. ไปที่แคนาดา ก็ไปดูได้ที่เมืองแวนคูเวอร์ หรือไม่ก็ไปที่ High Park 


นครโตรอนโตก็ได้เจ้าค่ะ"  ยูริเว้นวรรคไว้ ก่อนที่จะกล่าวต่อว่า



"แต่ถ้ากัปตัน C.L.O.C.K. ได้ไปเที่ยวที่ญี่ปุ่น ก็สมควรไปชมซากุระที่ภูเขาโยชิโนะในจังหวัดนารานะ


เจ้าคะ เพราะที่นั่นมีต้นซากุระอยู่ถึงสามหมื่นต้น มากที่สุดในญี่ปุ่นเลยล่ะเจ้าค่ะ แต่ก็ยังสถานที่อื่นใน


ญี่ปุ่นที่สามารถชมความงามของซากุระได้นะเจ้าคะ แล้วกัปตัน C.L.O.C.K. จะเลือกที่ไหนดีล่ะเจ้าคะ?"



คริสโตเฟอร์หัวเราะ



"แหมก็ต้องเป็นที่ปราสาทฮิเมจิสิ หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องเป็นบริเวณปราสาทโอซาก้า หรือจะไปที่


สวนสาธารณะอุเอะโนะในโตเกียวก็ได้ แต่ถ้าจะให้ดีกัปตัน C.L.O.C.K. จะพาพวกเราไปชมซากุระที่


ภูเขาไฟฟูจิกัน" คริสโตเฟอร์ทำท่ากัปตัน C.L.O.C.K. กำลังบิน โดยวิ่งวนไปรอบต้นซากุระ



ยูริหัวเราะกับท่าทางดังกล่าว สักพักคริสโตเฟอร์ก็ยื่นชุดการ์ดกัปตัน C.L.O.C.K. ให้ยูริ 


เธอรับชุดการ์ดมาดูด้วยความสนใจ  ในขณะที่คริสโตเฟอร์ชะเง้อมองจากข้างหลัง 

พลางเอามือแตะที่หัวไหล่ของยูริ




ปึ้ก !


คริสโตเฟอร์หันไปมองคนที่ทำให้เขาต้องละมือออกจากไหล่ของยูริ


"เฮ้! นี่ยูทำอะไรไอน่ะ"



"แหม แหม คู่นี้ทำอะไรกันคะ เล่นแตะเนื้อต้องตัวเลดี้ในโรงเรียนเลยเหรอคะ ดิฉันก็เลยประทับตรา

ให้คุณฐานไม่ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษน่ะสิคะ"  ประธานนักเรียนคลาสพริ้นเซสกล่าว


"สวัสดีเจ้าค่ะคุณอินทิรา"  ยูริโค้งทักทาย


"มาถึงก่อนดิฉันนี่คงจะเริ่มคุยเรื่องโครงการกันบ้างแล้ว ใช่ไหมคะ?"


"ยังไม่ได้คิดเลยด้วยซ้ำเจ้าค่ะ" ยูริพูดพลางมองไปที่ต้นซากุระ "อยากเอาดอกซากุระเป็นต้นไม้หลัก

ในการจัดสวนจำลอง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำในแบบไหนดีน่ะเจ้าค่ะ"  "อยากให้คุณซากุระบอกคำตอบให้


จังเลย"



ราวกับว่าต้นซากุระจะตอบรับคำร้องขอของเธอ ลมได้พัดกระโชกมาอย่างแรงทำให้ดอกซากุระหล่นจาก


ต้นมาพวงหนึ่ง พวงดอกซากุระนั้นได้กลิ้งลงจากเนินเขาที่ตั้งของซากุระไปทางทิศตะวันออก



"เอ๋! คุณซากุระร่วงลงไปแล้ว" 



"ไอว่าคุณซากุระต้องการจะบอกอะไรให้ยูริทราบแน่เลย พวกเรารีบตามคุณซากุระลงไปเถอะ"


คริสโตเฟอร์วิ่งลงจากเนินเขาไปเป็นคนแรก เพื่อนร่วมทีมอีกสองคนจึงได้เดินตามลงไปอย่างงง ๆ



เมื่อไปถึงบริเวณที่ซากุระหล่นอยู่พวกเขาก็พบว่ามีดอกไม้อีกพวงหนึ่งอยู้ใกล้ ๆ กันกับดอกซากุระ


เป็นดอกไม้ที่เหมือนซากุระที่พวกเขาตามมาเก็บมากเพียงแต่ว่าสีชมพูเข้มกว่า



"ยูไปเก็บมาเถอะ" คริสโตเฟอร์บอกยูริ และเมื่อยูริยื่นมือไปหยิบพวงซากุระที่หล่นอยู่ก็ได้พบกับ


คนคุ้นเคยที่ยื่นมือมาเก็บดอกไม้อีกพวงหนึ่งเหมือนกัน



"อ้าว! คุณทิวา มาเก็บดอกซากุระหรือเจ้าคะ?" 



"อ้าว! ยูริเองเหรอนี่ไม่ใช่ดอกซากุระหรอกนะ" ทิวาตอบ และเมื่อเธอเห็นยูริทำหน้าสงสัยก็เลย


เฉลยว่า




"ดอกไม้พวงนี้ถึงจะดูเหมือนซากุระ แต่จริง ๆ แล้วนี่คือดอกนางพญาเสือโคร่งต่างหากล่ะ" 



"เหมือนดอกซากุระจังนะเจ้าคะ"  ยูริยื่นหน้าเข้าไปดูใกล้ ๆ



"เพราะเหมือนดอกซากุระนี่แหละ ถึงได้เรียกว่า 'ซากุระเมืองไทย' ยังไงล่ะ" ทิวาบอก



"นี่คุณทิวาคิดจะเอาดอกไม้นี้ไปประดับในสวนจำลองเหรอเจ้าคะ" 



"ใช่แล้วล่ะ แต่ก็ไม่ใช่เฉพาะดอกไม้ชนิดนี้เท่านั้นนะ ยังมีดอกไม้อีกหลายชนิดเลยที่กลุ่มของฉันจะใช้ 


แล้วของกลุ่มยูริล่ะจะใช้ดอกซากุระเหรอ"



"ก็ยังไม่ทราบแน่ชัดเลยเจ้าค่ะ ยังไม่รู้เลยว่าจะจัดทำสวนจำลองออกมาอย่างไร เฮ้อ!"



"ถ้าอย่างนั้นไปดูที่สวนจำลองที่ฉันกับเพื่อนทำดูก่อนไหมล่ะ เผื่อจะได้ความคิดดี ๆ บ้าง แต่อย่า


ลอกเลียนแบบของกลุ่มฉันไปก็แล้วกัน" ทิวาพูดแล้วเดินนำหน้ายูริไปที่สวนจำลองของกลุ่มตน




"ใครไปจะเลียนแบบของคุณกันคะ" อินทิราส่ายหน้ากับคำพูดของลิงกังแห่งคลาสพริ้นเซส




โปรดติดตามตอนต่อไป





อ้างอิง



๑. ขอขอบคุณเนื้อเพลงในเว็บไซต์  http://konohana-sakura.blogspot.com/2012/08/hana-wa-saku-akb48-iwata-karen.html

As Req. by BossMinn

    และสามารถฟังเพลงดังกล่าวได้ที่เว็บไซต์


     
    https://www.youtube.com/watch?v=VuMlBNCTTFA


๒. http://travel.thaiza.com/10-สถานที่ชมดอกซากุระบานสุดฮิตในญี่ปุ่น/287269/





๓. http://en.wikipedia.org/wiki/Cherry_blossom#By_country


      http://en.wikipedia.org/wiki/Hanami


๔.   


  http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%87



























วันอาทิตย์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2557

สืบสานพระราชปณิธาน



"ตั้งใจจะอุปถัมภก                                         ยอยกพระพุทธศาสนา

 จะป้องกันขอบขัณฑสีมา                             รักษาประชาชนและมนตรีฯ"

(พระราชนิพนธ์นิราศท่าดินแดง)
จาก หนังสือเรื่องพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ โดยสุทธิวงศ์ ตันตยาพิศาลสุทธิ์ พิมพ์ครั้งที่ ๕


๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๗


                 ขอให้พวกเราชาวไทยผู้รักชาติ พระพุทธศาสนา พระมหากษัตริย์ ประชาธิปไตย และ
ความยุติธรรมทั้งปวงร่วมกันสืบสานพระราชปณิธานขององค์ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี
ด้วยการปกปักรักษาชาติบ้านเมืองและการปกครองในระบอบประชาธิปไตยให้พ้นจากภัยของ
กลุ่มคนพาลที่กำลังก่อความไม่สงบเรียบร้อยและความไม่ยุติธรรมในสังคมไทย ปกปักรักษา
ดินแดนและชาวไทยให้รอดพ้นจากภัยก่อการร้ายและการแบ่งแยกดินแดนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้  และปกปักรักษาพระพุทธศาสนาให้พ้นจากภัยของพวกเดียรถีย์ (สันติอโศก , ธรรมกาย , พุทธอิสระ) 
เพื่อให้ชาติไทยดำรงคงอยู่สืบไปชั่วลูกชั่วหลาน

                                                                                                         
             


วันเสาร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2557

ความยุติธรรม




เนื่องในโอกาสวันจักรีประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ขอยกเหตุการณ์ที่เป็นจุดเปลี่ยนแปลงที่นำไปสู่การชำระกฎหมาย ก่อให้เกิด "กฎหมายตราสามดวง" ขึ้น

ในสมัยรัชกาลที่ ๑ ได้เกิดคดีที่อำแดงป้อม ฟ้องหย่านายบุญศรี ช่างเหล็กหลวง ทั้ง ๆ ที่ตนทำชู้กับนายราชาอรรถ และศาลได้พิพากษาให้หย่าได้ตามที่อำแดงป้อมฟ้อง โดยอาศัยการพิจารณาคดีตามบทกฎหมาย ที่มีความว่า “ชายหาผิดมิได้ หญิงขอหย่า ท่านว่าเป็นหญิงหย่าชาย หย่าได้”

เมื่อผลของคดีเป็นเช่นนี้ นายบุญศรีจึงได้นำเรื่องขึ้นทูลเกล้าถวายฎีกาต่อพระเจ้าแผ่นดิน รัชกาลที่ ๑ ทรงเห็นด้วยกับฎีกาว่าคำพิพากษาของศาลนั้นขัดหลักความยุติธรรม ทรงสงสัยว่าการพิจารณาพิพากษาคดีจะถูกต้องตรงตามตัวฉบับกฎหมายหรือไม่ จึงมีพระบรมราชโองการ ให้เทียบกฎหมายทั้ง ๓ ฉบับ คือ ฉบับที่ศาลใช้กับฉบับที่หอหลวงและที่ห้องเครื่อง ปรากฏว่ามีข้อความที่ตรงกัน เมื่อเป็นดังนี้ จึงมีพระราชดำริว่ากฎหมายนั้นไม่เหมาะสม อาจมีความคลาดเคลื่อนจากการคัดลอก สมควรที่จะจัดให้มีการชำระสะสางกฎหมายใหม่ เหมือนการสังคายนาพระไตรปิฎก

จากคดีนี้ได้แสดงให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายที่แม้แต่พระมหากษัตริย์ก็ต้องให้ความสำคัญและปฏิบัติตาม ไม่มีพระราชอำนาจที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงกฎหมายตามอำเภอใจ
แม้จะทรงเห็นว่าคำตัดสินนั้นไม่สอดคล้องกับความยุติธรรม อันอาจเนื่องมาจากการคัดลอกกฎหมายมาผิด ก็ชอบที่จะจัดให้มีการชำระสะสางกฎหมายให้กลับไปสู่ความถูกต้องดังพระราชปรารภที่ว่า “ให้กรรมการชำระพระราชกำหนดบทพระอายการ อันมีอยู่ในหอหลวง ตั้งแต่พระธรรมศาสตร์ไปให้ถูกถ้วน ตามบาฬีและเนื้อความ มิให้ผิดเพี้ยนซ้ำกัน ได้จัดเป็นหมวด เป็นเหล่าเข้าไว้ แล้วทรงอุตสาห ทรงชำระดัดแปลง ซึ่งบทอันวิปลาดนั้นให้ชอบโดยยุติธรรมไว้”


http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%8E%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%A7%E0%B8%87


 ตัวอย่างในเรื่องนี้เราสามารถนำมาปรับใช้กับสถานการณ์ในปัจจุบันได้ครับ กล่าวคือ เมื่อเราพิจารณาแล้วเห็นว่า กฎหมายฉบับใดมีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม ไม่สอดคล้องกับความยุติธรรม ก็สามารถที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงบทบัญญัติของกฎหมายนั้นได้ แต่จะต้องทำให้ถูกต้องตามวิธีการในการแก้ไขเปลี่ยนแปลงกฎหมาย 

ดังนั้น แม้ว่าเราจะพิจารณาแล้วเห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ จะเป็นกฎหมายที่มีเนื้อหาที่มีปัญหาอยู่หลายประการ แต่เมื่อรัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านการลงประชามติมาแล้ว ก็ต้องยอมรับและปฏิบัติตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญฉบับนั้นไปก่อน แต่จะต้องเปิดโอกาสให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมเนื้อหาของกฎหมายได้เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพของสังคม   ไม่ใช่ปิดกั้นไม่ให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาย

วันศุกร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2557

อำนาจ (๑)


ข้อคิดเตือนใจตุลาการและผู้อยากมีอำนาจ

        ...ถ้าหากการปกครองมีแต่การกดขี่บังคับ ขาดความยุติธรรมเห็นได้อย่างถนัดชัดแจ้ง และราษฎรถูกข่มเหงรังแกจากข้าราชการ...ความกดดันก็เกิดขึ้นในใจซึ่งนานเข้าก็กลายเป็นความเกลียดชังระบอบการปกครองนั้นอย่างขมขื่นฝังเข้ากระดูกดำขนาดใครมาเป็นข้าศึกศัตรูกับระบอบนั้นก็ย่อมเข้าข้างด้วย...ถ้าความรักชาติสำหรับเขาแปลว่าต้องยอมตนเป็นเบี้ยล่างให้คนชาติเดียวกันมาเหยียบย่ำกดขี่ได้ตลอดไปโดยไม่มีทางเงยหน้าอ้าปากได้แล้ว ความรักชาติเช่นนั้นก็ไม่น่าที่เขาจะรักษาเอาไว้

                          จาก "พม่าเสียเมือง"  น. ๑๗๘ - ๑๗๙  
                          พิมพ์ครั้งที่ ๖ มีนาคม ๒๕๓๗ , ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช