แม้ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพานไปนานแล้ว แต่ชาวพุทธยังคงระลึกถึงพระองค์อยู่ เนื่องจากคุณงามความดีทั้งหลายที่พระองค์ได้ประพฤติเป็นแบบอย่างให้กับชาวโลก ซึ่งผมเห็นว่าพระบรมศาสดามีแบบอย่างที่สามารถนำมาใช้กับสังคมไทยและสังคมโลกปัจจุบัน ๓ เรื่องเรื่องแรก คือ ทางสายกลาง เรื่องต่อมา คือ การระงับสงคราม และเรื่องที่สาม คือ การปลูกฝังสิ่งที่ถูกต้องเป็นประโยชน์ต่อชนชาวโลก
มาพูดถึงเรื่องแรกกันก่อน จากการศึกษาพุทธประวัติจะเห็นได้ว่า ก่อนการตรัสรู้นั้นเจ้าชายสิทธัตถะได้ทรงผ่านการใช้ชีวิตในแนวทางสุดโต่งสองสายมาแล้ว คือ กามสุขัลลิกานุโยค และ อัตตกิลมถานุโยค ซึ่งทั้งสองทางไม่ทำให้พ้นจากทุกข์ได้ จนเมื่อพระองค์หันมาปฏิบัติตามหลักมัชฌิมาปฏิปทา (ทางสายกลาง) แล้วจึงได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า [๑]
ถึงแม้ว่าเรื่องทางสายกลางนี้จะเป็นเรื่องแนวทางปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์ แต่เราก็สามารถอนุโลมหลักการมาปรับใช้ในเรื่องทางโลกได้ทั้งในระดับบุคคล และระดับสังคม
๑) ในระดับบุคคลนั้น ให้บุคคลใช้ชีวิตอย่างพอเหมาะพอดีกับสถานภาพของตนเอง กล่าวคือ
-ไม่ใช้ชีวิตแบบหรูหรา บำรุงบำเรอตนเองมากจนเกินไป หรือใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เกียจคร้าน และ
-ไม่หักโหมทำงานการหรือเคร่งครัดในการดำรงชีวิตจนเกินไป
๒) ในระดับสังคมนั้น ก็คือ การบริหารจัดการสังคมนั้นให้มีความพอเหมาะพอดี กล่าวคือ
-ไม่ปล่อยให้คนในสังคมมีเสรีภาพมากจนเกินขอบเขต คิดจะทำอะไรก็ได้ จนทำให้คนไม่เคารพกฎหมายและระเบียบกฎเกณฑ์ กลายเป็นคนไร้ระเบียบวินัย
-ไม่ตัดรอนเสรีภาพของประชาชนโดยอาศัยอำนาจกฎหมาย จนกลายเป็นการปกครองด้วยอำนาจเผด็จการ ทำให้คนในสังคมไร้สิทธิเสรีภาพ
-ไม่ส่งเสริมการพัฒนาทางด้านวัตถุและการค้ามากจนเกินไปจนทำลายธรรมชาติและวัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม
-ไม่ปล่อยปละละเลยในด้านการสาธารณูปโภคหรือด้านการค้าจนสังคมยากจนและไม่พัฒนา
เป็นต้น
เมื่อเราลองมองดูประเทศต่าง ๆ ในสังคมโลกแล้วจะพบว่า บางประเทศให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนอย่างมาก ในขณะที่บางประเทศกลับมีรูปแบบการปกครองและศาสนาที่ค่อนข้างเคร่งครัดจนกลายเป็นความสุดโต่ง ถ่วงความเจริญก้าวหน้าของสังคมนั้น [๒] สังคมทั้งสองรูปแบบล้วนมีข้อบกพร่องทั้งสิ้น
ดังนั้น เพื่อจะสร้างสังคมที่มีความสมดุลจึงสมควรเผยแพร่และสนับสนุนให้คนในสังคมไทยและสังคมโลกยึดถือแนวทางสายกลางในการดำรงชีวิตและสนับสนุนผู้ปกครองในสังคมให้ใช้ทางสายกลางในการกำหนดนโยบายและบริหารจัดการประเทศ เพื่อประโยชน์และความผาสุกของชนชาวโลกสืบไป
[๑] ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.learntripitaka.com/History/Buddhist.html
[๒] ส่วนสังคมไทยดูเหมือนจะผสมผสานความสุดโต่งทั้งสองเอาไว้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ กล่าวคือ คนในสังคมสามารถทำอะไรก็ได้ในแม้จะเป็นการละเมิดกฎหมายหรือละเมิดสิทธิของคนอื่น แต่ในบางเรื่อง (โดยเฉพาะที่ไปกระทบต่อคนชั้นสูงหรือระบบราชการ) กลับจะต้องถูกสกัดยับยั้งไม่ให้มีส่วนร่วม หรือมีเสรีภาพในเรื่องดังกล่าว
“ขอโทษค่ะ ไม่สามารถติดต่อเลขหมายปลายทางได้ในขณะนี้ Sorry it is…”
แกร็ก! หญิงวัย ๕๐ ปี วางหูโทรศัพท์บ้านลง ก่อนที่จะยกมันขึ้นมาอีกครั้ง และกดหมายเลขโทรศัพท์ลงไป
๐๘๖ xxxxxxx และก็ได้รับคำตอบเดิม เธอถอนหายใจอย่างแรงแล้ววางหูโทรศัพท์ลงไปแล้วยกมันขึ้นอีกครั้ง
“นี่แม่ ! เลิกโทรสักทีได้ไหม” ชายวัย ๕๕ ปี ที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่เอ่ยขึ้นมา
“จะไม่ให้โทรได้ยังไงล่ะพ่อ ก็ลูกไม่ยอมรับสายเลยนี่นา”
“คนกำลังดูหนังอยู่จะให้เปิดโทรศัพท์ได้ยังไงกันล่ะ”
“ดึกขนาดนี้เนี่ยนะพ่อ” ผู้ที่เป็นแม่หันไปมองนาฬิกาแขวนที่อยู่บนฝาผนังบ้าน ซึ่งตอนนี้เข็มสั้นของนาฬิกานั้นชี้ที่เลข ๑๐ ส่วนเข็มยาวชี้ที่เลข ๙
“หนังมันก็มีฉายอยู่หลายรอบนี่แม่ ลูกของเราก็คงเลือกดูรอบดึกล่ะมั้ง อีกอย่างทราบมาว่าหนังเรื่องนี้ยาวตั้ง ๓ ชั่วโมง”
“แล้วเมื่อไหร่กล้าจะกลับบ้านซะทีล่ะคุณ กล้าไม่เคยกลับดึกขนาดนี้เลยนะ”
“อย่ากังวลไปเลย พรุ่งนี้ก็วันเสาร์แล้ว และเจ้ากล้าก็ไม่ต้องไปเรียนพิเศษที่ไหนนี่”
“คุณไม่ห่วงลูกบ้างเหรอคะ ช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ดีมีจี้ปล้นกันรายวัน”
“กล้ามันไปดูหนังกับเพื่อน เดี๋ยวเพื่อนก็คงมาส่งให้ถึงบ้านนั่นแหละ อีกอย่างกล้ามันก็เคยเรียนมวยไทยมาบ้าง ไม่ต้องห่วงหรอก” ผู้เป็นสามีกล่าวอย่างสบายอารมณ์
“กลับมาถึงบ้านเมื่อไหร่ต้องว่ากล่าวเอาเสียบ้างแล้ว” ผู้เป็นภรรยาเปรยขึ้น
“เฮ้อ ! คุณนี่นะ” สามีส่ายหน้าก่อนจะหันกลับไปดูข่าวต่อ
“ผู้แทนรัฐบาลสหรัฐอเมริกาประจำสหประชาชาติกล่าวยืนยันว่าทางการสหรัฐฯ จะไม่ยอมให้ทางฝ่ายรัสเซียกระทำการใดที่เป็นการล่วงล้ำ...”
“เดี๋ยวนี้ โลกเรามีความขัดแย้งเพิ่มมากขึ้นทุกทีนะ พ่อละเป็นห่วงว่าประเทศไทยจะได้รับผลกระทบอะไรจากความขัดแย้งบ้างหรือเปล่า” สามีเปรยขึ้น
“แหม ! ทำเป็นห่วงโลก ทีลูกตัวเองละไม่เป็นห่วง” ภรรยาแขวะเข้าให้ แต่สามีทำเป็นหูทวนลมเสีย
เวลาผ่านไปจนถึง ๒๓.๐๒ น. แล้ว ก็ยังไม่มีวี่แววว่าลูกจะกลับมาเลย ผู้เป็นแม่จึงได้โทรศัพท์อีกครั้ง แต่ก็ยังคงไม่สามารถติดต่อผู้เป็นลูกได้แต่อย่างใด ทำให้เกิดความรู้สึกเป็นห่วงลูกมากขึ้นกว่าเดิม เกรงว่าลูกจะประสบเหตุร้าย ซึ่งสัญชาตญาณของผู้เป็นแม่นับว่าถูกต้อง เพราะว่า
“โทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุดเสียด้วย” ชายฉกรรจ์ไว้หนวดเคราคนหนึ่งหยิบโทรศัพท์มือถือของกล้าขึ้นดู ก่อนจะหย่อนลงไปในกระเป๋าเสื้อของตน
ชายอีกคนควักเอากระเป๋าสตางค์ของกล้าขึ้นมาแล้วหยิบเอาเงินในกระเป๋าไปจนเกลี้ยง ขว้างบัตรประชาชนและบัตรนักเรียนของกล้าทิ้งไป ก่อนที่จะหยิบกระเป๋าสะพายของกล้าขึ้นมาเพื่อค้นหาสิ่งของมีค่า
ยังมีชายอีกคนใช้มีดจี้ที่เอวของกล้าไว้ ไม่ให้ขัดขืน
‘บ้าที่สุด เดินเข้าซอยมาตลอดไม่เคยเจอผู้ร้าย วันนี้เกิดดวงซวยขึ้นมาเสียได้’ กล้าคิดในใจอย่างคับแค้น เขาไม่สามารถทำอะไรคนเหล่านี้ได้เลย
‘รู้แบบนี้ให้เพื่อนมาส่งที่บ้านก็ดี ไม่สิ! ถ้าทำอย่างนั้นเพื่อนของเขาก็ต้องรับเคราะห์ไปด้วย คนร้ายมีกันตั้งสามคน แถมมีอาวุธอีกด้วย’
เดิมทีหลังจากออกจากเมเจอร์ซีนีเพล็กซ์รัชโยธินแล้ว ‘เพลิง’ เพื่อนของกล้าอาสาจะเดินมาส่งกล้าให้ถึงที่บ้าน แต่เขาปฏิเสธไป เพราะว่าบ้านของเขาไม่ได้อยู่ไกลจากโรงภาพยนตร์เท่าไรนัก แล้วเขาก็แยกทางกัน เขามีความสุขจากการได้ดูภาพยนตร์เรื่องเยี่ยมกับเพื่อน แต่พอเข้าซอยรัชโยธิน ๓๓ มาได้ไม่นานนัก เขาก็ถูกคนร้ายดักปล้นเขานี่แหลละ
“ในกระเป๋านี่ไม่มีอะไรแล้วว่ะ ไปกันเถอะ” ชายคนที่รื้อค้นกระเป๋าสะพายของกล้าพูดขึ้นมา
“แล้วจะทำยังไงกับไอ้เด็กนี่?” ชายคนที่ใช้มีดจี้ที่เอวของกล้าถาม
“ปล่อยไปเราแย่แน่ จัดการมันซะ” ชายคนที่เอาโทรศัพท์มือถือของกล้าไปสั่งการ
‘แย่แล้ว! ทำไงดี’ กล้าคิดหาทางเอาตัวรอด
“ขอโทษทีนะไอ้หนูวันนี้ดวงแกถึงฆาตแล้ว” ชายคนที่ใช้มีดจี้ที่เอวกล่าว
“สมุดบัญชี!” กล้าตะโกนขึ้นมา
“เงียบ! เมื่อกี้ว่ายังไงนะ” ชายคนที่ถือมีดกล่าว
“ผมจะบอกสมุดหมายเลขสมุดบัญชีเงินฝากให้” กล้าบอก “แต่พวกคุณต้องปล่อยผมก่อน”
“ปล่อยไปให้ไปแจ้งตำรวจเรอะ อย่าหวังซะให้ยากเลย ยังไงแกก็ต้องบอกหมายเลขสมุดบัญชีมาให้พวกกูรู้” ชายคนที่เอาโทรศัพท์มือถือของเขาไปยื่นหน้าเข้ามาใกล้
“ หนึ่ง สอง ..” กล้าพูด
“พูดใหม่ซิ” ชายคนนั้นยื่นหน้าเข้ามาใกล้อีก
“สาม!” ตะโกนเสร็จ กล้าก็ใช้ศอกของตัวเองกระแทกไปที่ชายโครงของชายที่ยืนอยู่ด้านหลังอย่างแรง พร้อมกับที่ใช้เท้าซ้ายเตะเสยไปที่ปลายคางของคนที่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้เขา พอพวกโจรเสียจังหวะ กล้าก็รีบวิ่งไปทันที แต่ก็ไม่ทัน เพราะถูกชายคนที่สามรวบตัวไว้ได้ทันควัน
“โอ๊ย ! ไอ้เด็กเวร ฤทธิ์มากนักใช่มั๊ย”
สวบ! เสียงมีดแทงเข้าที่สีข้างของเด็กหนุ่มวัย ๑๕ ปี
“อึ๊ก!” เป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดอย่างเหลือที่จะพรรณนา เด็กหนุ่มทรุดตัวลงทันที
“ช่วยไม่ได้โว๊ย รนหาเรื่องเอง” โจรคนที่ถูกเตะปลายคางใช้เท้าเตะเข้าไปที่สีข้างของกล้าข้างที่ถูกแทง
กล้านอนบิดตัวไปมาด้วยความเจ็บปวดอย่างยิ่ง
“ฆ่ามันได้แล้ว” หัวหน้าโจรสั่งการ
นี่เขาจะต้องตายแบบนี้จริง ๆ เหรอเนี่ย
“พวกเราหยุดสู้กันก่อนดีไหม”
“ว่าไงนะ!” หัวหน้าโจรตะโกนถาม
สายลมพัดมาวูบหนึ่ง แล้วก็เหมือนกับมีอะไรที่ทั้งหนักและแรงมากระแทกเข้าที่หน้าของหัวหน้าโจรจนมันล้มลง เลือดกำเดาไหลทะลักออกมา
“ลูกพี่!!” โจรอีกสองคนตะโกน
“พวกมึงทำอะไรกูวะ!” หัวหน้าโจรยังคงใช้มือลูบที่ปลายจมูกของตนเอง
“เปล่านะ ลูกพี่” ทั้งสองคนปฏิเสธ
“ก็มีแต่พวกมึงสองคนกับไอ้เด็กนี่ ถ้าไม่ใช่พวกมึงแล้วจะเป็นใคร ไอ้เด็กใกล้ตายนี่น่ะเหรอ”
“ยังมีนักรบสายลมอยู่ด้วยนะ” เสียงปริศนาลอยมาเข้าหูโจรทั้งสามคน
วูบ !
สายลมพัดมาอีกครั้ง คราวนี้กระชากให้โจรทั้งสามลอยตัวขึ้นจากพื้นดิน
“ว้าก ! เหวอ !” คนโฉดทั้งสามร้องออกมาพร้อมกัน
สายลมพัดกรรโชกอย่างแรง พร้อมกับที่คนร้ายทั้งสามคนเหมือนถูกอะไรบางอย่างเล่นงานเข้าที่ใบหน้าและลำตัวพร้อมกัน
ผัวะ ! ผัวะ ! ตุ๊บ ! “โอ๊ย!” “อ๊อก!” “อ๊าก !””ทั้งสามร้องออกมาทุกครั้งที่ลมพัดมากระทบใบหน้า ทำให้กล้าที่แม้ว่าตอนนี้จะรู้สึกเจ็บปวดแค่ไหนก็ยังต้องเงยหน้าขึ้นไปดู
สายลมครั้งหลังสุดรุนแรงที่สุดพัดพาเอาคนโฉดทั้งสามให้ลอยตัวไปตามแรงลม สูงขึ้นไป สูงขึ้นไป จนลับหายไปจากสายตาของเด็กหนุ่ม
“ปลอดภัยแล้วนะ” เสียงปริศนากล่าวขึ้นใกล้ตัวเขา กล้าฝืนเงยหน้ามองแล้วก็ต้องตกใจเมื่อเขาพบว่าคนที่เอ่ยเสียงนี้ขึ้นมานั้นเป็นใคร
นั่นมันแมวยักษ์เหรอ!
“เป็นอะไรมากไหม?” คือคำถามจากแมวยักษ์
“เจ็บ เจ็บมาก เจ็บมากเลย”
เจ้าแมวยักษ์ยกฝ่ามือ (หรือฝ่าเท้า) ขึ้นมา มีแสงสว่างออกมาจากฝ่ามือ (หรือฝ่าเท้า) นั้น แล้วก็จี้ลงตรงแผลของกล้าอย่างแรง
“อ้าก ! เจ็บ!” กล้าดิ้นทุรนทุราย
“อย่าโวยวายไป เดี๋ยวก็หายแล้ว” แมวยักษ์กล่าวกับกล้า
“เจ็บ!” กล้ายังคงดิ้นพล่านอยู่จนกระทั่ง
โครม !!!
“อูย เจ็บชะมัดเลย” กล้าเอามือลูบหัวตัวเอง นี่เขาฝันร้ายเหรอนี่ ค่อยยังชั่วหน่อย หลังจากนั่งมึนอยู่บนพื้นห้องนอนของตัวเองไปราวสิบนาที เขาก็เลิกเสื้อขึ้นเพื่อดูตรงสีข้าง
ไม่มีแผลแฮะ เขาฝันไปจริง ๆ นั่นแหละ แต่ขออย่าได้ฝันอย่างนี้อีกเลย เพราะมันสมจริงเหลือเกิน
“กล้า ตื่นได้แล้วลูก เก้าโมงแล้ว”
พอได้ยินเสียงของพ่อ กล้ารีบลุกขึ้นจากพื้นห้องทันที แล้วเดินเข้าห้องน้ำชั้นบน แปรงฟัน อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า เสร็จแล้วลงไปชั้นล่าง เขาพบว่าแม่ของเขาได้เตรียมข้าวต้ม และบรรดากับข้าว มีไข่เค็ม ไชโป๊ว ต้มจับฉ่าย ไข่เจียว กุนเชียง ไว้บนโต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว
“สุขสันต์วันเกิดจ๊ะลูก” ผู้เป็นแม่กล่าวทักทายเมื่อเห็นกล้าเดินลงมา
“อรุณสวัสดิ์ครับ คุณพ่อ คุณแม่” กล้ากล่าวทักทายตอบ
“อายุครบ ๑๖ ปีบริบูรณ์แล้วนะเรา” พ่อพูดโดยไม่เงยหน้าขึ้นจากหนังสือพิมพ์ที่อ่านอยู่
กล้านั่งลงเพื่อจะกินอาหารเช้า แต่ก่อนที่เขาจะหยิบช้อนขึ้นมาก็นึกขึ้นได้ว่าควรจะพูดอะไรก่อน
“คุณพ่อครับ คุณแม่ครับ ผมขอโทษด้วยที่เมื่อวานกลับดึก”
“คราวหลังก็อย่าทำอย่างนี้อีกก็แล้วกัน” แม่กล่าว
“ครับ” กล้ารับคำ
“แม่ก็จริงจังไปได้ ลูกกลับมาแค่เที่ยงคืนเอง”
“นั่นสินะ ถ้ากลับมาตอนตีห้าค่อยเป็นห่วงก็แล้วกันนะคะที่รัก”
กล้าขบขันกับคำต่อล้อต่อเถียงระหว่างพ่อกับแม่ของเขานัก ทั้งสองคนยังคงต่อปากต่อคำอยู่ตลอดเวลาที่กล้านั่งกินอาหารเช้าอยู่ จนกระทั่งเมื่อล้างจานเสร็จแล้ว ก็ยังไม่เลิกต่อล้อต่อเถียงกัน หรือนี่จะเป็นของขวัญที่พ่อกับแม่ของเขาเตรียมให้เขาในวันคล้ายวันเกิดวันนี้กันนะ
ปิ๊งป่อง !
เสียงกริ่งหน้าบ้านที่ดังขึ้นบอกว่ามีพัสดุภัณฑ์ส่งมาถึงบ้านของเขาแล้ว
“กล้า ช่วยออกไปรับที” ผู้เป็นพ่อบอก
“ครับ” ถึงไม่บอกเขาก็ทำอยู่แล้ว เนื่องจากเขารู้ดีว่าจะมีพัสดุภัณฑ์ส่งมาให้เขาหลายชิ้นในวันนี้อย่างแน่นอน และก็เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ เสียด้วย
พัสดุภัณฑ์ที่จ่าหน้าถึง “แกล้วกล้า สันติธรรม” มีอยู่ไม่ต่ำกว่าหกกล่อง ผู้ส่งมีทั้งที่เป็นญาติและเพื่อนพ้องของเขา แต่สิ่งที่ทำให้เขาดีใจที่สุดเป็นกล่องที่ระบุว่าผู้ส่งคือ “METHA SANTIDHAM” หรือชื่อภาษาไทยว่า “เมธา สันติธรรม” พี่ชายของเขาเอง
“มีพัสดุจากพี่เก่งด้วยครับ” กล้าหันไปพูดกับคุณพ่อที่ออกมาลงลายมือชื่อรับพัสดุภัณฑ์จากบุรุษไปรษณีย์
“เหรอ ดีจริง ส่งมาจากเคนยาเชียวนะ แล้วนี่ของใครล่ะนี่” ธนา สันติธรรม หยิบกล่องหนึ่งขึ้นมา บนกล่องนั้นมีห่อกระดาษที่มีลวดลายรูปแมวจำนวนมาก บ้างเป็นรูปแมวกำลังไล่จับหนู บ้างเป็นรูปแมวกำลังเลียขาหน้าของตัวเองอยู่ ฯลฯ
“สงสัยจะเป็นของพี่แมวล่ะมั้งครับ” กล้าพลิกดูก็เห็นว่าจ่าหน้าถึงเขาจริง ส่วนชื่อผู้ส่งก็คือ “วิฬาร์ เทวารักษ์” “ของพี่แมวจริง ๆ ด้วย”
“เอาละรีบไปเปิดกล่องของขวัญกันเถอะครับ” กล้าพูดขึ้นมา
“รีบร้อนจริง ๆ นะเรา” นภา สันติธรรม กล่าว
กล้าหอบของขวัญทั้งหมดเข้าไปในบ้าน แล้วรีบแกะกล่องของขวัญที่ได้รับมาจากพี่ชายก่อนเลย เขาพบว่าพี่ชายส่งของที่ระลึกจากประเทศเคนยามาให้เป็นรูปชาวเผ่ามาไซแกะสลักจากไม้อย่างประณีต แล้วยังมีไปรษณียบัตรและรูปภาพของพี่เก่งที่ถ่ายรูปคู่กับเจ้าหน้าที่ขององค์การ UNICEF อีกอย่างละใบด้วย
เก่ง พี่ชายของเขาซึ่งอายุห่างจากเขา ๙ ปี แถมเกิดวันเดียวกันกับเขา คือ วันที่ ๓ พฤษภาคม นั้น หลังจากจบการศึกษานิติศาสตร์บัณฑิตเกียรตินิยมอันดับหนึ่งจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แล้ว ก็สมัครเข้าทำงานกับองค์การ UNICEF ประจำประเทศไทย แล้วไม่นานก็ทำเรื่องขอไปทำงานที่ต่างประเทศ โดยได้ไปทำงานที่ประเทศโซมาเลีย ซึ่งเรื่องนี้ทางคุณพ่อคุณแม่และเขาคัดค้านอย่างหนัก แต่พี่ชายของเขาแค่ตอบอย่างใจเย็นว่า
“ผมก็จะได้ให้ของขวัญกับพวกเขาไงครับ”
ใช่ของขวัญที่ให้กับคนอื่นเนื่องในวันคล้ายวันเกิดของสองพี่น้อง คุณปู่คุณย่าของสองพี่น้องตั้งความหวังไว้ว่า หลาน ๆ อย่างพวกเขาจะต้องทำประโยชน์ให้กับคนอื่นเป็นการตอบแทนสังคม ไม่ใช่รับแต่ของขวัญอย่างเดียว ดังนั้น สองพี่น้องจึงต้องบำเพ็ญประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งเมื่อถึงวันที่ ๓ พฤษภาคม ยกตัวเช่นอย่างเมื่อสองปีที่แล้ว เขาทั้งสองคนอัดวิดีโอลง YouTube เพื่อรณรงค์ให้นักเรียนช่างกลเลิกตีกัน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ผลก็ตาม แต่วิดีโอของทั้งสองคนก็ได้รับความนิยมมาก มีผู้เข้าไปดูถึง ๒๐,๐๐๐ คน และกลายเป็นข่าวใหญ่ไปถึงห้าวันเต็ม ๆ ตอนนั้น กล้าจำได้ว่ามีสื่อมวลชนมาขอสัมภาษณ์เขาถึงในห้องเรียนเลยทีเดียว
และปีที่แล้วนี่แหละที่เก่งขอไปทำงานที่โซมาเลียเพื่อช่วยเหลือคนที่อยู่ในประเทศด้อยพัฒนาแต่ถูกคัดค้านจากคนในครอบครัว เนื่องจากเป็นการเสี่ยงอันตรายเกินไป อาจถึงแก่ชีวิตได้
“ทำไมลูกไม่เปลี่ยนไปช่วยกล้าปลูกต้นไม้เพื่อฟื้นฟูป่าชายเลนแทนล่ะ”
แม่ของพวกเขาแนะนำ
“ก็น่าสนใจดีเหมือนกันนะครับ” เก่งตอบว่าอย่างนั้น และเก่งก็ได้ช่วยเขากับเพื่อนในการปลูกต้นไม้ในป่าชายเลนที่จังหวัดตราดด้วย
และเมื่อกลับมาแล้ว พวกเขาทั้งครอบครัวก็ได้ไปสวดมนต์ที่พระวิหารหลวง วัดสุทัศน์เทพวราราม ซึ่งเมื่อถึงคราวอธิษฐานขอพร เก่งได้อธิษฐานออกมาว่า
“ผมขอสัญญาต่อองค์พระศรีศากยมุนีว่า ผมขออุทิศชีวิตนี้เพื่อช่วยเหลือเด็กทั่วโลกจากการถูกทำร้าย ถูกล่วงละเมิด ถูกทอดทิ้ง ถูกใช้แรงงานหนักโดยไม่เป็นธรรม ถูกตัดโอกาส ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการทำสงคราม ฯลฯ”
ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครกล้าขัดขวางเก่งอีก เพราะกลัวว่าเก่งจะเสียสัตย์ที่ให้ไว้ต่อองค์พระศรีศากยมุนี จึงจำใจอนุญาตให้เขาไปได้ตามที่ต้องการ เพียงแต่ขอให้เก่งติดต่อกลับมาเป็นประจำ ซึ่งเก่งก็รับคำ หลังจากนั้น หนึ่งเดือนเก่งก็เดินออกเดินทางไปเตรียมตัวที่ประเทศเคนยาก่อน แล้วถึงค่อยเข้าไปในโซมาเลีย เก่งติดต่อกลับบ้านมาเสมอทั้งทางไปรษณียบัตร อีเมล์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องขอบคุณโปรแกรม
สไกป์ (Skype) ที่ช่วยให้เราเห็นหน้าเห็นตาพูดคุยกันข้ามทวีปได้
กล้าพลิกดูข้างหลังไปรษณียบัตรแล้วอ่านข้อความที่เก่งเขียนมาถึง ซึ่งมีเนื้อหากล่าวถึงชีวิตความเป็นอยู่และงานการที่ทำ มีการฝากความคิดถึงมาถึงคนในครอบครัวด้วย
‘ ส. ๓ พฤษภาคม ๒๕xx จะสไกป์มาตอนเวลา ๑๑ โมงเช้า ตามเวลาประเทศไทย’ นี่ใกล้เวลา ๑๑ โมงเช้าแล้วนี่นา
“พ่อครับพี่เก่งจะสไกป์มาหาเราตอน ๑๑ โมงเช้า ผมขึ้นไปเอาโน๊ตบุ๊คก่อนนะครับ”
“แล้วรีบลงมาล่ะ”
กล้ารีบขึ้นไปเอาเครื่องโน๊ตบุ๊คของตัวเองลงมา เปิดเครื่องและเปิดสัญญาณ WIFI เรียบร้อยแล้ว ได้เวลาพอดี
“สวัสดีครับ คุณพ่อ คุณแม่ กล้า เป็นอย่างไรบ้าง สบายดีไหมครับ” ภาพของเก่งปรากฏบนหน้าจอโน๊ตบุ๊ค
“สบายดีครับพี่เก่ง ตอนนี้พี่อยู่ที่ไหน?” กล้าถาม
“ไนโรบี เขาให้กลับมาประชุมกันก่อน” เก่งตอบน้องชายกลับ
“รักษาตัวด้วยนะลูก” นภากล่าวกับลูกชายด้วยความเป็นห่วง
“ครับ ไม่ต้องห่วงหรอกครับคุณแม่”
“ทำงานที่นั่น สนุกไหมลูก?” ธนาถามบ้าง
“ก็สนุกดีครับ พวกเด็ก ๆ น่ารักดี แต่พวกที่ถือปืนก็เยอะ โชคดีที่เราได้ทหารสหประชาชาติคอยให้ความคุ้มครอง โดยเฉพาะผู้หมวดเดชาก็คอยช่วยเหลือผมอยู่”
“ลูกปลอดภัยก็ดีแล้ว ว่าแต่เมื่อไหร่จะกลับมาบ้านซะทีล่ะ แม่เขาจะได้ทำซอฟต์เค้กรสบลูเบอร์รี่ ของโปรดของลูกไงล่ะ”
“ก็คงต้องรออีกสักพักแหละครับ เดี๋ยวพอพ้นเดือนนี้ไปแล้ว งานก็จะหนักขึ้นอีก”
“พี่เก่งรีบทำงานแล้วรีบกลับมานะครับ จะได้ไปเที่ยวด้วยกัน”
“เอาแต่ไปเที่ยวนะเราน่ะ”
กล้าร้อง แหะ แหะ แก้เขิน
“วันนี้ก็อายุได้สิบหกปีแล้วคิดหรือยังว่าจะเรียนต่อคณะไหน”
“ยังเลยครับพี่” เขาเรียนไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ เลยไม่รู้ว่าจะเข้าคณะไหนดี “เริ่มคิดถึงอนาคตได้แล้ว ว่าโตขึ้นจะเรียนอะไร จะทำงานอะไร จะแต่งงานเมื่อไหร่ มีแฟนหรือยังหือ”
“พี่ก็รู้คำตอบอยู่แล้วนี่ครับ” กล้ายักคิ้วให้พี่ชาย “ยังโสดอีกนาน”
“เอาน่าสักวันก็คงต้องเจอคนที่ใช่บ้างแหละ”
“แล้วพี่ล่ะเจอคนที่ใช่บ้างหรือยัง พี่แมวหรือเปล่า” กล้าแกล้งถามพี่ชาย
“พูดอะไรอย่างนั้น แมวเป็นแค่รุ่นน้องโต๊ะเอง”
“แต่ผมก็เคยเห็นนะว่าพี่แมวน่ะมักจะชอบหน้าแดงเวลามองหน้าพี่ แล้วก็มักจะพูดติดอ่างเวลาที่คุยกับพี่”
“พอเลย พอเลย เขาเป็นแค่รุ่นน้องโต๊ะ โอเคนะ”
“คร้าบบบ!” กล้าแกล้งลากเสียงยาว
“ยังกวนประสาทอยู่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง”
“ก็ผมเป็นน้องพี่นี่”
“เดี๋ยวเถอะ”
“พูดถึงพี่แมวแล้ว วันนี้พี่แมวส่งของขวัญมาให้ด้วยล่ะ”
“เหรอเป็นอะไรล่ะ”
“ไม่รู้สิครับ ยังไม่ได้แกะดูเลย”
“ผ้าเช็ดตัวลายแมวเหมียว แล้วก็คริสตัลอีกสี่ก้อน” ธนาตอบให้แทน
“อ้าวพ่อ ไปยุ่งกับของขวัญของลูกทำไมกัน” นภาติสามีของเธอ
“เมื่อกี้พ่อว่ามีอะไรบ้างนะครับ” กล้าถาม
“ก็ผ้าเช็ดตัว และก็คริสตัลไงเล่า” “เอ ! แปลกจังแฮะ ทำไมให้ผ้าเช็ดตัวแล้วก็ต้องให้คริสตัลมาด้วยนะ ไม่เห็นจะเข้าใจ แต่ก็สวยดีนะ” ธนายกคริสตัลทั้งสี่ก้อนซึ่งร้อยเป็นพวงขึ้นส่องดู มันสะท้อนแสงเป็นประกายระยิบระยับแลดูงดงามยิ่งนัก
“อะแฮ่ม!” พอศรีภรรยาส่งเสียงเตือนสามีก็ยื่นคริสตัลไปให้กล้า กล้ารับไว้ก่อนจะเอามาอวดให้เก่งดู
“ก็สวยอย่างที่พ่อว่าไว้จริงนั่นแหละ อย่าลืมขอบคุณพี่เขาด้วยก็แล้วกัน” เก่งตอบ
“แล้วผมก็จะบอกว่าพี่เก่งฝากความคิดถึงทั้งตัวและหัวใจมาให้ รับรองพี่แมวต้องละลายแน่”
“เอาเข้าไป”
“แล้วกล้าคิดว่าปีนี้จะให้อะไรเป็นของขวัญแก่คนอื่นบ้างล่ะลูก”
“ผมคิดว่าปีนี้จะบริจาคเงินและหนังสือเข้ามูลนิธิที่ตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือผู้คนที่ได้รับความเดือดร้อน
จากภัยผู้ก่อการร้ายในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้นะครับ”
“ดีมาก แต่ปีนี้แม่และพ่อขอของขวัญเพิ่มอีกชิ้นจะได้ไหม”
“อะไรหรือครับ”
“ก็ของขวัญที่แม่ พ่อ และพี่เขาอยากได้มานานแล้วอย่างไรล่ะลูก”
“ผมเกรงว่าอาจจะยังไม่ได้ภายในปีนี้นะครับ”
“ว้า ! แล้วเมื่อไหร่จะได้ซักทีล่ะ”
“ก็ไม่รู้เหมือนกันครับ”
ของขวัญชิ้นนี้เป็นของขวัญที่ให้ได้ยากเนื่องจากเกี่ยวกับพฤติกรรมของกล้าโดยเฉพาะ เขาชอบทำอะไรที่ออกจะกล้าบ้าบิ่นไปสักหน่อย แถมฝีปากของเขาก็เป็นเช่นชื่อเล่นของเขาเสียด้วย
อันที่จริง กล้าไม่ใช่คนที่พูดจาก้าวร้าวหยาบคาย เป็นเพียงแต่คำพูดคำจาของกล้าออกแนวกวนตีนมากกว่า และกล้าเป็นคนที่พูดจาโผงผางตรงไปตรงมา หากเห็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องแล้วเป็นต้องโวยวายสวนกลับคู่สนทนาทุกที
นั่นทำให้หลายคนไม่พอใจ หลายคนว่ากล้าสมควรได้เคี้ยวหมากเสียบ้าง คนในครอบครัวเองรู้สึกหนักใจกับพฤติกรรมของกล้า ทั้งธนา นภา และเก่งเองก็เคยเตือนกล้าว่าต่อไปกล้าจะเดือดร้อนเพราะปาก จึงขอให้กล้าระมัดระวังคำพูดเสียบ้าง ซึ่งกล้าก็รับคำ แต่ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตรงนี้ได้เสียที
“ว่าแต่ปีนี้พี่จะให้อะไรเป็นของขวัญแก่สังคมล่ะครับ?”
“นี่เลย โครงการรณรงค์ให้เลิกขับขี่รถบนทางเท้า ดูได้ที่ change.org”
“เป็นโครงการที่ดีนี่ หวังว่าคงได้ผลนะ”
“เราต้องเชื่อว่าเราสามารถทำให้สังคมน่าอยู่ขึ้นได้ครับคุณพ่อ”
“ดีแล้วลูกพ่อ”
หลังจากการสนทนาทางสไกป์กับเก่งแล้ว กล้าก็ได้ไปเปิดห่อของขวัญที่เหลือ ซึ่งก็ปรากฏว่ามีทั้งหนังสือ เครื่องเขียน ไดอารี่ external hard drive กล้ามีความสุขกับของขวัญที่ได้มามาก
ปิ๊งป่อง !
“อ้าว ! ใครกดกริ่งล่ะ” นภาถามในขณะที่กำลังกินอาหารกลางวันอยู่กับธนาและกล้า
“คงเป็นเพื่อนผมน่ะครับคุณแม่ วันนี้นัดไปเที่ยวที่สวนสนุกด้วยกัน”
“อะไรกัน เที่ยวอีกแล้ว” นภาบ่น
“วันนี้ไม่กลับดึกแน่ครับ” กล้าพูดเสร็จก็รวบช้อนส้อม ดื่มน้ำไปหนึ่งแก้ว แล้วรีบขึ้นไปเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเป็นชุดเสื้อยืดคอปก กางเกงยีนส์ขายาว
“ผมไปก่อนนะครับคุณพ่อ คุณแม่” กล้าพูด
“พ่อฝากเงินไปทำบุญด้วย” ธนายื่นเงินห้าพันบาทให้กล้า
“แม่ก็เหมือนกัน อย่าทำหายล่ะ” นภายื่นเงินอีกห้าพันบาทให้
“ครับผม” กล้ารับเงินจากคุณพ่อคุณแม่ แล้วรีบเดินไปหาเพื่อนที่รออยู่นอกบ้าน
“ไง ! ปล่อยให้รอตั้งนาน” เป็นเพลิงนั่นเอง
“ก็ไม่นานเกินรอหรอกน่า” กล้าตอบกลับ
“คราวหลังต้องเร็วกว่านี้” ใหญ่ เพื่อนร่วมห้องร่างยักษ์พูดขึ้นมาบ้างพลางใช้มือซ้ายตบไปสีข้าง นั่นทำให้กล้าสะดุ้ง
“เป็นอะไรหรือเปล่า?” กรรณ เพื่อนสาวร่วมห้องแสดงความเป็นห่วง
“ไม่เป็นอะไรมากหรอก แค่รู้สึกเจ็บนิด ๆ” กล้าเอามือคลำที่สีข้างของตนเอง
“คราวหลังก็ควบคุมแรงไว้บ้างนะนายน่ะ” เพลิงหันไปพูดกับใหญ่
“อะไรกัน ฉันแค่สะกิดเท่านั้นเอง” ใหญ่
“นั่นสะกิดของนายเหรอ ไอ้แรงช้างเอ้ย” เพลิงสับเข้าให้
“นี่อย่าทะเลาะกันเลย รีบไปกันเถอะนะ เดี่ยวสวนสนุกจะปิดซะก่อน” กรรณ พูดหย่าศึก
“ไม่ต้องกังวล นั่งรถเมล์ชั่วโมงเดียวก็ถึง” ใหญ่ว่า
“อื้ม! ไปกันเถอะ แต่ขอแวะธนาคารก่อนนะ” กล้าเดินนำเพื่อนอีกสามคนเข้าไปที่ธนาคาร
กล้ารีบนำเงินหนึ่งหมื่นบาทที่คุณพ่อคุณแม่ให้มาบวกกับเงินหนึ่งพันบาทของตัวเองนำเงินเข้าบัญชีของมูลนิธิช่วยคนใต้ ซึ่งเป็นมูลนิธิที่ตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือผู้คนที่ได้รับความเดือดร้อนจากภัยผู้ก่อการร้ายในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงได้ขึ้นรถเมล์ไปกับเพื่อน ๆ พวกเขามาถึงสวนสนุกที่รัตนาธิเบศร์เมื่อเวลา ๑๔.๐๐ น.
“ว้าว! ใหญ่จัง คนเยอะด้วย” กรรณอุทาน
“เพิ่งเปิดใหม่เลยนะ” ใหญ่ซึ่งเป็นคนเสนอสถานที่เที่ยวบอก
“แล้วเราจะเล่นอะไรกันบ้างล่ะ” กรรณถาม
“ก็แล้วแต่เธอ แต่อย่าลืมบ้านผีสิงนะ” เพลิงว่า
“บ้านผีสิงมันไม่เร้าใจหรอก ขึ้นรถไฟเหาะตีลังกาดีกว่า” ใหญ่เสนอขึ้นมาบ้าง
“โหย! เล่นแต่อะไรเสียว ๆ ทั้งนั้นเลย แล้วกล้าล่ะจะเล่นอะไรดี ว้าว! สวยจังเลย” กรรณอุทานเมื่อเห็นกล้าหยิบคริสตัลที่ได้รับมาเป็นของขวัญในวันนี้มาแขวนคอ
“คริสตัลน่ะ ได้มาจากรุ่นพี่ที่รู้จัก”
“มีตั้งสี่สีแนะ ขอดูหน่อยได้ไหม” กรรณแบมือ
“ได้เลย” เมื่อกล้าอนุญาตกรรณก็หยิบขึ้นมาดูทีละอันทีละอัน
“เราจะไปเล่นกันได้หรือยัง”
“แหม! รีบร้อนจังเลยนะนาย” กรรณว่า
“แต่เพลิงก็พูดถูกนะ มัวแต่ดูคริสตัลอยู่ก็ไม่ต้องไปเล่นกันพอดี” กล้าบอก
“รู้แล้วล่ะน่า งั้นเล่นอะไรก่อนดี”
“ก็ต้องรถไฟเหาะตีลังกานั่นแหละ” ใหญ่ว่า
ด้วยเหตุนี้ พวกเขาทั้งหมดจึงได้มายืนเข้าคิวอยู่ที่หน้ารถไฟเหาะตีลังกา
“เมี้ยว! เมี้ยว!” แมววิเชียรมาศตัวหนึ่งเข้าไปเคล้าแข้งเคล้าขาของกล้า
“เฮ้ย! จั๊กจี้นะ” กล้าก้มลงไปพูดกับมัน
“น่ารักจัง” กรรณย่อตัวลงไปกะจะลูบขนของมัน
“กรรณอย่าไปแตะตัวมัน เดี๋ยวมันกัด อีกอย่างมันสกปรกนะ” กล้าเตือน
“รู้แล้วล่ะน่า” กรรณเบ้ปาก
“สี่คนครับ” เพลิงพูดกับคนขายตั๋ว
“คนละร้อยบาท รวมทั้งหมดสี่ร้อยบาทค่ะ” พนักงานยื่นตั๋วมาให้เพลิง
‘แพงชะมัด’ เพลิงคิดในใจ แต่ก็ส่งเงินให้พนักงานแต่โดยดี
พวกเขาเดินเข้าไปนั่งในรถไฟเหาะ
“เขาไม่ให้แกขึ้นมาหรอก อยู่ตรงนี้นั่นแหละ” กล้าหันไปพูดกับเจ้าแมววิเชียรมาศที่ทำท่าเดินเข้ามาในรถไฟเหาะด้วย มันนั่งมองกล้าตาแป๋ว
*****
ขณะเดียวกันที่บ้านของกล้า ธนากำลังนั่งดูข่าวอยู่
“...ขณะที่นักบินอวกาศของสถานีอวกาศนานาชาติ SS กำลังตรวจดูบริเวณที่สถานีได้รับความเสียหายจากการถูกวัตถุอวกาศพุ่งชน ก็ได้พบร่องรอยประหลาดมีลักษณะคล้ายรอยขีดข่วนของเล็บแมวและรอยจิกของนกอยู่ตรงบริเวณดังกล่าว...”
“เดี๋ยวนี้มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นเยอะเลยนะ แม่ว่ามันคล้ายเล็บแมวหรือเปล่า” ธนาชี้ให้ดูภาพข่าวที่ฉายให้เห็นร่องรอยคล้ายรอยขีดข่วนของเล็บแมวที่ว่า
“คุณคะ ฉันต้องรีดผ้านะคะ ไม่มีเวลามาดูหรอกค่ะ”
*****
“ขออีกสักรอบ” กล้าพูด
“ฉันไม่ไหวแล้ว” กรรณยอมแพ้
“ได้เลย แต่คราวนี้นายออกเงินนะ” เพลิงเสนอ
“แน่นอนอยู่แล้ว” กล้ารีบไปต่อแถว และเมื่อถึงคิวของเขา เขาก็จ่ายเงินไปสามร้อยบาท (เนื่องจากกรรณไม่เล่นแล้ว)
ตอนที่พวกเขาเดินขึ้นรถไฟเหาะ เจ้าแมววิเชียรมาศตัวเดิมก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม
รถไฟเหาะค่อย ๆ แล่นออกไปอย่างช้า ๆ ก่อนที่จะเพิ่มความเร็วขึ้นทุกขณะ ในที่สุดก็มาถึงบริเวณที่ตีลังกา แล้วก็ วิ้ว!
‘สนุกจริง ๆ’ กล้าคิด นั่งรถไฟนี่มันดีจริง ๆ นี่ถ้าได้นั่งรถไฟความเร็วสูงจะรู้สึกอย่างไรนะ
ว่าแล้วกล้าก็คิดถึงภาพตนเองนั่งรถไฟท่องเที่ยวไปในยุโรป ชมภูมิประเทศอันงดงามระหว่างทาง อยากไปเที่ยวจริง ๆ นี่ถ้าได้ไปเที่ยวก็ดีนะ ไปเที่ยวที่ไกล ๆ เลย ถือซะว่าเป็นของขวัญวันเกิดก็แล้วกัน
กล้าไม่รู้ตัวหรอกว่าตอนนี้คริสตัลทั้งสี่อันที่แขวนอยู่บนคอกำลังส่องแสงอยู่ และเมื่อถึงคราวที่รถไฟวิ่งตีลังกาอีกครั้ง
“เมี้ยว!” เจ้าแมววิเชียรมาศไม่นั่งอยู่ที่เดิมแล้ว ช่วงที่มันร้องขึ้นแสงจากคริสตัลก็สว่างเจิดจ้าจนกล้าต้องหลับตาลง และเมื่อลืมตาขึ้นอีกที เบื้องหน้าเขาก็กลายเป็นสถานที่ที่เขาไม่รู้จักซึ่งเต็มไปด้วยนกขนาดเท่าตัวคนที่สวมชุดเกราะอยู่ และยังมีแมวขนาดเท่าตัวคนอยู่อีกหนึ่งด้วย
กล้าปรารถนาอยากไปเที่ยวที่ไกล ๆ ตอนนี้ เขาได้ของขวัญนั้นตามความต้องการแล้ว
โปรดติดตามตอนต่อไป
เกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของยูนิเซฟ โปรดดู
http://www.unicef.org/thailand/tha/overview_7000.html