วันพุธที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

แบบอย่างจากพระพุทธเจ้า (๑) : ทางสายกลาง



แม้ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพานไปนานแล้ว แต่ชาวพุทธยังคงระลึกถึงพระองค์อยู่ เนื่องจากคุณงามความดีทั้งหลายที่พระองค์ได้ประพฤติเป็นแบบอย่างให้กับชาวโลก ซึ่งผมเห็นว่าพระบรมศาสดามีแบบอย่างที่สามารถนำมาใช้กับสังคมไทยและสังคมโลกปัจจุบัน ๓ เรื่อง

เรื่องแรก คือ ทางสายกลาง เรื่องต่อมา คือ การระงับสงคราม และเรื่องที่สาม คือ การปลูกฝังสิ่งที่ถูกต้องเป็นประโยชน์ต่อชนชาวโลก

มาพูดถึงเรื่องแรกกันก่อน จากการศึกษาพุทธประวัติจะเห็นได้ว่า ก่อนการตรัสรู้นั้นเจ้าชายสิทธัตถะได้ทรงผ่านการใช้ชีวิตในแนวทางสุดโต่งสองสายมาแล้ว คือ กามสุขัลลิกานุโยค และ อัตตกิลมถานุโยค ซึ่งทั้งสองทางไม่ทำให้พ้นจากทุกข์ได้ จนเมื่อพระองค์หันมาปฏิบัติตามหลักมัชฌิมาปฏิปทา (ทางสายกลาง) แล้วจึงได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า [๑]

ถึงแม้ว่าเรื่องทางสายกลางนี้จะเป็นเรื่องแนวทางปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์ แต่เราก็สามารถอนุโลมหลักการมาปรับใช้ในเรื่องทางโลกได้ทั้งในระดับบุคคล และระดับสังคม

๑) ในระดับบุคคลนั้น ให้บุคคลใช้ชีวิตอย่างพอเหมาะพอดีกับสถานภาพของตนเอง กล่าวคือ

-ไม่ใช้ชีวิตแบบหรูหรา บำรุงบำเรอตนเองมากจนเกินไป หรือใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เกียจคร้าน และ

-ไม่หักโหมทำงานการหรือเคร่งครัดในการดำรงชีวิตจนเกินไป

๒) ในระดับสังคมนั้น ก็คือ การบริหารจัดการสังคมนั้นให้มีความพอเหมาะพอดี กล่าวคือ

-ไม่ปล่อยให้คนในสังคมมีเสรีภาพมากจนเกินขอบเขต คิดจะทำอะไรก็ได้ จนทำให้คนไม่เคารพกฎหมายและระเบียบกฎเกณฑ์ กลายเป็นคนไร้ระเบียบวินัย

-ไม่ตัดรอนเสรีภาพของประชาชนโดยอาศัยอำนาจกฎหมาย จนกลายเป็นการปกครองด้วยอำนาจเผด็จการ ทำให้คนในสังคมไร้สิทธิเสรีภาพ

-ไม่ส่งเสริมการพัฒนาทางด้านวัตถุและการค้ามากจนเกินไปจนทำลายธรรมชาติและวัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม

-ไม่ปล่อยปละละเลยในด้านการสาธารณูปโภคหรือด้านการค้าจนสังคมยากจนและไม่พัฒนา

เป็นต้น

เมื่อเราลองมองดูประเทศต่าง ๆ ในสังคมโลกแล้วจะพบว่า บางประเทศให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนอย่างมาก ในขณะที่บางประเทศกลับมีรูปแบบการปกครองและศาสนาที่ค่อนข้างเคร่งครัดจนกลายเป็นความสุดโต่ง ถ่วงความเจริญก้าวหน้าของสังคมนั้น [๒] สังคมทั้งสองรูปแบบล้วนมีข้อบกพร่องทั้งสิ้น

ดังนั้น เพื่อจะสร้างสังคมที่มีความสมดุลจึงสมควรเผยแพร่และสนับสนุนให้คนในสังคมไทยและสังคมโลกยึดถือแนวทางสายกลางในการดำรงชีวิตและสนับสนุนผู้ปกครองในสังคมให้ใช้ทางสายกลางในการกำหนดนโยบายและบริหารจัดการประเทศ เพื่อประโยชน์และความผาสุกของชนชาวโลกสืบไป

[๑] ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.learntripitaka.com/History/Buddhist.html

[๒] ส่วนสังคมไทยดูเหมือนจะผสมผสานความสุดโต่งทั้งสองเอาไว้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ กล่าวคือ คนในสังคมสามารถทำอะไรก็ได้ในแม้จะเป็นการละเมิดกฎหมายหรือละเมิดสิทธิของคนอื่น แต่ในบางเรื่อง (โดยเฉพาะที่ไปกระทบต่อคนชั้นสูงหรือระบบราชการ) กลับจะต้องถูกสกัดยับยั้งไม่ให้มีส่วนร่วม หรือมีเสรีภาพในเรื่องดังกล่าว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น