พระราชดำรัส
ในพระราชพิธีออกมหาสมาคม รับการถวายพระพรชัยมงคล
ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม, ๕ ธันวาคม ๒๕๔๒
ในพระราชพิธีออกมหาสมาคม รับการถวายพระพรชัยมงคล
ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม, ๕ ธันวาคม ๒๕๔๒
ข้าพเจ้ามีความปิติชื่นชมยินดียิ่ง
ที่ได้เห็นท่านทั้งหลายจากทุกองค์กร และทุกสถาบันพร้อมเพรียงกันมาให้พรวันเกิด
ขอขอบพระทัยและขอบใจ ในคำอวยพรอันเปี่ยมด้วยความหวังดีและไมตรีจิต
ขอทุกท่านจงได้รับพรและไมตรีจิตของข้าพเจ้าเช่นเดียวกัน
ความพร้อมเพรียงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันที่ทุกคนทุกฝ่ายแสดงให้เห็น
ให้ข้าพเจ้าระลึกถึงคุณธรรมข้อหนึ่ง ที่อุปถัมภ์และผูกพันคนไทยให้รวมกันเป็นเอกภาพ
สามารถดำรงชาติบ้านเมืองให้มั่นคงเป็นอิสระยั่งยืนมาช้านาน
คุณธรรมในข้อนั้นคือ
ไมตรี ความมีเมตตา ความดีให้กันและกัน คนที่มีไมตรีต่อกันจะคิดอะไรก็คิดแต่ในทางสร้างสรรค์
ที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลกัน จะพูดอะไรก็ใช้เหตุผลเจรจากันด้วยความเข้าอกเข้าใจกัน
จะทำอะไรก็ช่วยเหลือร่วมมือกันด้วยความมุ่งดีมุ่งเจริญต่อกัน
ข้าพเจ้าจึงขอให้ท่านทั้งหลายได้พิจารณา
ทบทวนให้ทราบตระหนักแก่ใจอีกครั้งหนึ่งว่าในกาย ในใจ ของคนไทยเรา
ยังมีคุณธรรมในข้อนี้อยู่หนักแน่น พร้อมมูลเพียงใด จะได้มั่นใจว่า
เราจะสามารถรักษาประเทศชาติ และความเป็นไทยของเรา ไว้ได้ยืนยาวตลอดไป
ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ที่ชาวไทยทุกหมู่เคารพบูชา จงอภิบาลรักษาทุกท่านให้มีความสุข ปราศจากมลทิน
ทุกข์และภยันตราย มีกำลังกาย กำลังใจและกำลังปัญญา
สามารถนำพาบ้านเมืองให้ผ่านพ้นอุปสรรคขวากหนาม บรรลุถึงความวัฒนาผาสุกได้โดยสวัสดี
เราคือเพื่อนกัน
-๑-
ถึงจะช้าไปสักหน่อย
แต่คงไม่สายไปที่จะเผยแพร่บทความนี้นะครับ คือ ผมเห็นว่าสังคมไทยปัจจุบันนี้เต็มไปด้วยความขัดแย้งรุนแรงมากมาย
ปรากฏออกมาเป็นข่าวอยู่เสมอ ที่เผยแพร่ไปในโซเชียลมีเดียและทางอินเตอร์เน็ตก็มาก
มีตั้งแต่เรื่อง
ความขัดแย้งทางการเมืองไปจนถึงเรื่องขัดแย้งส่วนบุคคล เรื่องของดารา นักแสดง
นักธุรกิจ นักเรียนช่างกลตีกัน ฯลฯ ที่เป็นเช่นนี้ผมคิดว่าเป็นเพราะคนในสังคมไทย (รวมถึงสังคมโลก) ในยุคนี้ขาดธรรมะที่ช่วยยึดโยงให้เราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ธรรมะนั้น คือ ไมตรี หรือ มิตรภาพ นั่นเอง
ความขัดแย้งทางการเมืองไปจนถึงเรื่องขัดแย้งส่วนบุคคล เรื่องของดารา นักแสดง
นักธุรกิจ นักเรียนช่างกลตีกัน ฯลฯ ที่เป็นเช่นนี้ผมคิดว่าเป็นเพราะคนในสังคมไทย (รวมถึงสังคมโลก) ในยุคนี้ขาดธรรมะที่ช่วยยึดโยงให้เราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ธรรมะนั้น คือ ไมตรี หรือ มิตรภาพ นั่นเอง
-๒-
หญิงชายทั้งหลายนั้น ควรเห็นกันว่าเปนเพื่อน
ทหารและพลเรือน จงฟังคำและจำดี
ชาติเดียวกันทุกคน รักแต่ตนจะเสียที
มัวแก่งและแย่งดี จนแตกพวกไม่ควรการ
ทหารอย่าข่มเพื่อน พลเรือนก็เท่าทหาร
พลเรือนอย่าใจพาล อย่าชิงชังซึ่งโยธา
ต่างฝ่ายต้องพึ่งกัน ทุกสิ่งสรรพ์สำเร็จนา
บทพระราชนิพนธ์ของล้นเกล้าล้นกระหม่อมรัชกาลที่
๖ จากเรื่อง หนามยอกเอาหนามบ่งนี้ รวมถึงพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบันที่ให้ไว้ในพระราชพิธีออกมหาสมาคม
รับการถวายพระพรชัยมงคล ณ พระที่นั่ง
อนันตสมาคม เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๒[2] ก็ล้วนแต่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของไมตรี ว่าเป็นธรรมะสำคัญที่จะช่วยเสริมสร้างความสามัคคีปรองดองอย่างแท้จริง และนำสังคมไปสู่ความก้าวหน้า
อนันตสมาคม เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๒[2] ก็ล้วนแต่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของไมตรี ว่าเป็นธรรมะสำคัญที่จะช่วยเสริมสร้างความสามัคคีปรองดองอย่างแท้จริง และนำสังคมไปสู่ความก้าวหน้า
-๓-
สิ่งที่ทำให้คนในสังคมไทยแตกสามัคคีในปัจจุบันนี้
นอกจากเรื่องความไม่เป็นธรรมในสังคมแล้ว ก็เกิดจากการแก่งแย่งผลประโยชน์กัน
(เหมือนอย่างในนิทานเรื่องนากทะเลสองตัวแย่งชิ้นส่วนของปลาที่มีเนื้อมากที่สุด)
การยึดมั่นในความเห็นของตนและข้อมูลที่ตนได้รับมาว่าถูกต้อง ความคิดของคนอื่นหรือข้อมูลที่คนอื่นได้รับมานั้นผิด
ทั้ง ๆ ที่ตนเองอาจจะได้รับข้อมูลเพียงส่วนเดียว (เหมือนอย่างในนิทานเรื่อง
ตาบอดคลำช้าง) และการใช้อารมณ์และความรุนแรงในการแก้ปัญหา (อย่างในนิทานเรื่องน้ำผึ้งหยดเดียว) ทำให้สังคมไทยร้าวรานอย่างหนัก ถ้าคนไทยเราไม่ตระหนักและไม่หาทางแก้ไขปัญหานี้แล้ว สังคมไทยอาจจะถึงขั้นแยกประเทศ หรือเกิดการทำสงครามกลางเมืองกันก็ได้ครับ ดูตัวอย่างจากประวัติศาสตร์ความขัดแย้ง และ
การสงครามที่เกิดขึ้นทั่วโลกในอดีต เป็นอุทาหรณ์ได้ครับ
ตาบอดคลำช้าง) และการใช้อารมณ์และความรุนแรงในการแก้ปัญหา (อย่างในนิทานเรื่องน้ำผึ้งหยดเดียว) ทำให้สังคมไทยร้าวรานอย่างหนัก ถ้าคนไทยเราไม่ตระหนักและไม่หาทางแก้ไขปัญหานี้แล้ว สังคมไทยอาจจะถึงขั้นแยกประเทศ หรือเกิดการทำสงครามกลางเมืองกันก็ได้ครับ ดูตัวอย่างจากประวัติศาสตร์ความขัดแย้ง และ
การสงครามที่เกิดขึ้นทั่วโลกในอดีต เป็นอุทาหรณ์ได้ครับ
-๔-
คำถามก็มีอยู่ว่าเราจะแก้ปัญหานี้อย่างไร
เราจะปลูกไมตรีให้เกิดขึ้นระหว่างคนไทยกลุ่มต่าง ๆ ด้วยกัน
ระหว่างข้าราชการกับประชาชน ระหว่างรัฐบาลกับประชาชน ระหว่างคนนับถือศาสนาต่าง ๆ
ระหว่างกลุ่มบุคคลที่มีความคิดเห็นทางการเมืองไม่ตรงกัน ระหว่างพรรคการเมืองต่าง ๆ
และ ระหว่างบุคลากรต่างสถาบัน (เช่น ระหว่างนักเรียนช่างกลต่างสถาบันกัน
หรือระหว่างตำรวจกับทหาร)
กันอย่างไร ?
กันอย่างไร ?
คำตอบก็คือ จะต้องเริ่มจากการปลูกฝังความคิดในการมองคนอื่นในสังคมว่าเป็นเพื่อนกันเสียก่อน
คนเราไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตนเองเพียงลำพังนะครับ
ต้องพึ่งพาอาศัยคนอื่น ไม่ว่าจะในด้านทรัพยากรก็ดี หรือในด้านความรู้ความสามารถก็ดี
เราจึงต้องรู้จักวิธีที่จะสานสัมพันธ์กับคนอื่น ทีนี้ถ้าเรามองคนอื่นว่าเป็นคนเหมือนกับเรา
มองว่าคนอื่นเป็นเพื่อน เราก็จะมีอัธยาศัยไมตรีต่อกัน ปฏิบัติต่อคนอื่นในฐานะเป็นคนที่เท่าเทียมกัน
คนอื่นมีปัญหาอะไรก็จะพยายามช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน
และพร้อมที่จะเดินเคียงข้างไปด้วยกัน ไม่พยายามทำตัวเป็นเจ้าขุนมูลนายที่มีฐานะสูงส่งหรือมีสิทธิพิเศษเหนือคนอื่น
หรือแสดงอำนาจข่มหรือกดขี่คนอื่น
หรือจ้องจะหาประโยชน์หรือทำลายล้างคนอื่นให้พินาศไป
อนึ่ง ที่ว่ามองคนอื่นเป็นเพื่อนนี้ก็ต้องเข้าใจด้วยนะครับว่า
ไม่ใช่เห็นคนอื่นเป็นเพื่อนที่จะมากอดคอ พูดจาสนิทสนม ทำอะไรตลกโปกฮาอะไรกันแบบนี้
แต่หมายถึงมองว่าคนอื่นนั้นเป็นเพื่อนร่วมชาติ
เพื่อนร่วมโลกที่มีชีวิตจิตใจเหมือนกับเรา
มีสิทธิเสรีภาพอย่างเสมอภาคกันเหมือนกับเรา จึงต้องให้ความเคารพซึ่งกันและกันนั่นเองครับ
ดังนั้น
ในสังคมเราจึงยังคงต้องเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ มีระบบอาวุโส
และระบบการบังคับบัญชาอยู่ครับ
-๕-
มีเพียงทัศนคติอย่างเดียวไม่พอครับ
จะต้องแสดงความเป็นกัลยาณมิตรออกมาทางการกระทำและวาจาด้วย กล่าวคือ ทั้งผู้บริหารประเทศ
นักการเมืองและข้าราชการจะต้องเป็นผู้ที่มีความจริงใจต่อประชาชน
ทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและขยันหมั่นเพียร
จะต้องแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาและมีมารยาท สุภาพเรียบร้อย พูดจาไพเราะอ่อนหวาน
พูดด้วยเหตุผล เห็นประชาชนเป็นมิตรของตน
และในทางกลับกันประชาชนก็ต้องให้ความเคารพแก่ข้าราชการ นักการเมือง สื่อสารมวลชน
และผู้นำของประเทศด้วยเช่นกัน
คนที่เป็นมิตรกันย่อมให้คำแนะนำว่ากล่าวตักเตือนกันได้ ดังนั้น
เมื่อประชาชนเห็นว่าคนกลุ่มใดหรือข้าราชการหรือนักการเมืองหรือผู้บริหารประเทศกระทำในสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม
หรือไม่เหมาะสม ประชาชนย่อมมีสิทธิที่จะแสดงความคิดเห็นคัดค้าน หรือตำหนิ
หรือให้คำแนะนำได้ และในทางกลับกันฝ่ายรัฐบาล
และข้าราชการเมื่อเห็นพฤติกรรมของประชาชนในทางที่ไม่สร้างสรรค์ก็สามารถให้คำแนะนำ
ห้ามปราม ตักเตือน ให้ประชาชนละเลิกการกระทำเหล่านั้นได้เช่นกัน
ไม่ใช่ปล่อยปละละเลยเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เสีย
ไม่ใช่ปล่อยปละละเลยเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เสีย
คนเป็นมิตรจะต้องคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ดังนั้น
ผู้บริหารประเทศและข้าราชการที่เห็นประชาชนเป็นมิตรจะต้องคอยช่วยเหลือประชาชนที่กำลังประสบปัญหาตกทุกข์ได้ยาก
เช่น เมื่อเกิดภัยพิบัติขึ้น ทหารและรัฐบาลก็จะต้องให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชน
ทั้งในด้านอาหาร ยารักษาโรค หน่วยแพทย์ การคมนาคม
เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในช่วงน้ำท่วมใหญ่เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๔ นั่นแหละครับ
ในขณะเดียวกันทางฝ่ายประชาชนก็คอยช่วยเหลือรัฐบาลและข้าราชการด้วยการสนับสนุนทางด้านกำลังเงิน
กำลังทรัพย์ กำลังพล อาหาร ให้กับฝ่ายรัฐ ดังนี้
คนเป็นมิตรจะต้องไม่ทำลายความไว้วางใจต่อกัน
จะต้องรักษาความลับของอีกฝ่าย จะต้องรักษาผลประโยชน์
และชื่อเสียงของอีกฝ่ายไว้ ดังนั้น
ฝ่ายผู้บริหารประเทศ ข้าราชการ หรือสื่อสารมวลชนนั้น
จะต้องแสดงตนว่าจะเป็นผู้พิทักษ์รักษาผลประโยชน์และชื่อเสียงของประเทศชาติและประชาชน
ไม่พยายามสอดส่อง ละเมิดสิทธิส่วนตัวของประชาชน ในขณะที่ประชาชนก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับรัฐบาลในการรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติและราชการด้วยกัน
ความเป็นมิตรกันจะทำให้คนในสังคมมีความสามัคคีรักใคร่กลมเกลียวกัน ร่วมแรงร่วมใจกันทำการงานใหญ่ให้บรรลุผล
ความเป็นศัตรูกันจะทำให้คนในสังคมมุ่งทำลายล้างกัน
ฉะนั้น ก็อย่างที่เนื้อเพลงใจประสานใจ ว่าไว้ครับ
มาเป็นมิตรกันเถอะครับ
ขอให้ผู้คนในสังคมไทยและสังคมโลกจงเป็นมิตรกันครับ ^ ^
เพราะเราคือเพื่อนกัน
ป.ล.
ดูลักษณะของมิตรแท้ มิตรเทียมได้ที่ https://www.gotoknow.org/posts/418336
[1] บทปลุกใจร้อยประการ พระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว.รวบรวมโดย ศาสตราจารย์
ฐะปะนีย์ นาครทรรพ และศาสตราจารย์สุทธิลักษณ์ อำพันธ์วงศ์ , มูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดพิมพ์ในงานพระบรมราชานุสรณ์ พ.ศ. ๒๕๓๐
ฐะปะนีย์ นาครทรรพ และศาสตราจารย์สุทธิลักษณ์ อำพันธ์วงศ์ , มูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดพิมพ์ในงานพระบรมราชานุสรณ์ พ.ศ. ๒๕๓๐
[2]
http://kanchanapisek.or.th/speeches/1999/1205.th.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น