วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เทคโนโลยีกับชีวิตของมนุษย์

ชีวิตสมัยปัจจุบันนี้ช่างแสนจะสุขสบายนัก




ทำไมผมถึงได้คิดอย่างนี้หรือ




ตอบได้อย่างไม่ยากเย็นอะไรเลย ก็เพราะเราได้สิ่งประดิษฐ์ที่เกิดขึ้นจากเทคโนโลยีของมนุษย์มาคอยอำนวยความสะดวกให้เราน่ะสิครับ



คิดว่าผมพิมพ์ผิดหรือ




เปล่าผมไม่ได้พิมพ์ผิดไปหรอกครับ แต่ถ้าหากพิมพ์ผิด ผมก็แค่กด Back Space แล้วก็แก้ไขถ้อยคำเท่านั้นก็เรียบร้อยแล้ว
ไม่ต้องอาศัยยางลบ ไม่ต้องใช้ Liquid Paper ให้ยุ่งยาก เสียเวลา เพราะโปรแกรมคอมพิวเตอร์สมัยปัจจุบัน ได้จัดระบบสำหรับการแก้ไขถ้อยคำผิดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว นี่ถ้ายังใช้พิมพ์ดีด หรือ เขียนด้วยปากกาขนนกจุ่มหมึกซึมอยู่ ก็คงลำบากน่าดูเลย


และด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์อีกเช่นกัน ผมสามารถทำแผนภูมิ ตาราง ใส่รูปภาพ เพื่อประกอบการนำเสนอผลงาน หรือทำรายงานได้อย่างไม่ยากเย็นอะไรเลย สองสามวันก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว


หือ! คุณถามว่าอะไรนะครับ? อ้อ หากต้องทำเอกสารจำนวนมากล่ะ จะทำอย่างไร ไม่ยากครับ ไม่ยาก แค่ไปหาร้านถ่ายเอกสาร
บอกเขาว่าคุณต้องการเอกสารกี่ชุด หาเงินมาชำระราคา แล้วก็รอสักเวลาหนึ่ง เอกสารจำนวนที่คุณต้องการจะมาถึงมือของคุณเอง


หรือหากคุณใจร้อน คุณจะทำเองก็ได้นะครับ นี่ต้องขอบคุณผู้ประดิษฐ์เครื่องถ่ายเอกสาร (Photocopier) ที่ช่วยให้คุณไม่ต้องมาเสียเวลานั่งคัดลายมือ หรือพิมพ์ดีดเสียงดังต็อกแต็ก ให้เมื่อยแต่อย่างใด


ทำงานมาเหนื่อยแล้ว ได้เวลาพักกินอาหารกลางวัน หือ ไม่ได้เตรียมอาหารไว้หรือ ถ้างั้นไปซื้ออาหารสำเร็จรูปมากินก็ได้ เขามีขายทั่วไป ช่างสะดวกสบายอะไรเช่นนี้ อาหารที่ซื้อมาก็อยู่ได้นานเหลือเกิน เพราะแช่ตู้เย็นไว้แล้ว นี่เราไม่ต้องเสียเวลามาทำการถนอมอาหาร ไปตากแห้ง หรือกวน หรือแช่อิ่มแต่อย่างใดเลย แต่อย่างไรเสีย อาหารมันก็เย็น ต้องทำให้อาหารร้อนก่อนที่เราจะกินได้ แต่ทำอาหารไม่เป็นนี่สิ ทำไงดี เอ้า เตาไมโครเวฟมาช่วยให้ทุกอย่างง่ายขึ้น แค่เอาอาหารใส่เข้าเตา ตั้งเวลา ตั้งอุณหภูมิ แล้วก็กดปุ่ม มีแสงออกมาแล้ว นั่นอาหารกำลังสุกอยู่ ปิ๊ง! อา ! ได้กินอาหารแล้ว อร่อย


กินเสร็จแล้วก็กลับไปทำงานต่อ ทำต่อไป ต่อไป เอ ต้องหาข้อมูลในการทำงานเสียด้วยสิ แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปหาล่ะ คิดออกแล้ว เข้า Google สิ แค่พิมพ์คำที่ต้องการค้น นั่นไง ออกมาเพียบเลย ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปห้องสมุดให้เสียเงินค่ารถแต่อย่างใด อินเตอร์เน็ตช่วยได้ ไวเหลือเกิน
นี่แหละหนายุคไอที 3G มันก็ดีอย่างนี้แหละ






เอาละ ถึงเวลากลับบ้านแล้ว ต้องรีบกลับเสียด้วยสิ เพราะว่ามีรายการโปรดอยู่ แต่ก็กลับไปไม่ทันดูข่าวอยู่ดี ถ้าเช่นนั้น ตรวจข่าวจากทางโทรศัพท์ก็ได้ เดี๋ยวนี้โทรศัพท์มือถือดีนะ สมัยก่อนนี้ใช้โทรหาคนอื่นอย่างเดียว เดี๋ยวนี้เข้าอินเตอร์เน็ตก็ได้ จำได้ว่าครั้งหนึ่งไฟดับ หาไฟฉายไม่เจอ ก็ใช้โทรศัพท์มือถือนี่แหละ ให้แสงสว่างไปก่อน พูดถึงแสงสว่างนี่ สมัยนี้ดีนะ ไม่ต้องใช้ตะเกียง หรือเทียนไข มีไฟฟ้าให้ใช้ทุกครัวเรือนแล้ว หากไฟดับก็มีไฟฉายให้ใช้แทนไปก่อนได้


เอาละ ข่าวในวันนี้ มีเรื่องที่น่าสนใจทีเดียว นักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นสามารถสร้างหุ่นยนต์ที่มีรูปร่างหน้าตาและความรู้สึกคล้ายมนุษย์ได้ และยังมีการพัฒนาหุ่นยนต์ให้สามารถทำงานต่าง ๆ ได้อีกด้วย เดี๋ยวนี้ทำได้ขนาดนี้แล้วหรือนี่ เทคโนโลยีปัจจุบันก้าวหน้าเหลือเกิน อีกไม่นานเราจะได้มีหุ่นยนต์เป็นผู้ทำงานต่าง ๆ แทนมนุษย์ สบายไปเลย เอ้า ดูข่าวต่อไปซิ เป็นเรื่องของสงครามกลางเมืองในประเทศ L โดยฝ่ายต่อต้านรัฐบาลได้รับการสนับสนุนกำลังจากประเทศ A ประเทศ E ประเทศ F แล้วแบบนี้ฝ่ายรัฐบาลของประเทศ L จะสู้ได้หรือ ในเมื่ออีกฝ่ายมีอาวุธที่ทันสมัยกว่า ตามประวัติศาสตร์การสงครามแล้ว กองทัพของฝ่ายที่มีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ากว่ามักจะเป็นฝ่ายชนะสงคราม ดูอย่างตอนที่ประเทศ A ส่งกำลังทหารไปรุกรานประเทศ I สิ ประเทศ A มีอาวุธที่ทันสมัยกว่า ก็ย่อมชนะเป็นธรรมดา นี่ก็เป็นผลมาจากเทคโนโลยีเช่นกัน ต่อไปก็เป็นข่าวในด้านการแพทย์ที่จะมีการใช้สเต็มเซลล์ (Stem Cell) ในการรักษาโรคต่าง ๆ นี่ก็ต้องขอบคุณเทคโนโลยีอีกเช่นกันที่ช่วยยืดชีวิตของคนไข้ออกไปได้



ตรวจดูข่าวเสร็จแล้ว นี่ยังกลับไม่ถึงบ้านเลย การจราจรของกทม.นี่ติดขัดเหลือเกิน ถ้ารถไฟฟ้าใต้บินผ่านที่ทำงานและที่บ้านล่ะก็ จะนั่งรถไฟใต้ดินทั้งขาไปและขากลับเลย กวาดตามองไปรอบ ๆ เห็นคนที่นั่งอยู่เก้าอี้ตัวหน้ากำลังนั่งเล่นเกมส์กดอยู่ ส่วนอีกคนใช้ Tablet นี่ก็เป็นผลมาจากเทคโนโลยีเหมือนกันที่ช่วยไม่ให้คนต้องเบื่อหน่ายจากการจราจรอันแสนไม่ได้เรื่อง




เอาละ กลับมาถึงบ้านเสียที ทีนี้ก็รีบกินข้าว อาบน้ำแล้ว ดูโทรทัศน์ซะหน่อย มีสารคดีเรื่องการท่องเที่ยวด้วย ประเทศนี้น่าไปเที่ยวนะ ถ้ามีโอกาสก็จะไปเที่ยว ไม่ต้องห่วงเรื่องเงินทองอยู่แล้ว และถึงแม้ว่าประเทศนั้นจะอยู่ไกลถึงทวีปอื่น แต่ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการบินก็ช่วยย่นระยะทางให้สั้นลง สามารถเดินทางไปถึงได้ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งวัน แจ๋วไหมล่ะ เอาละได้เวลาเข้านอนแล้ว วันนี้ร้อนจัง เปิดเครื่องปรับอากาศดีกว่า นี่เป็นสิ่งประดิษฐ์จากเทคโนโลยีที่ช่วยให้เราไม่ต้องร้อนมาก



พอถึงตอนเช้า ก็ตื่นนอนขึ้นมาได้ด้วยนาฬิกาปลุก ถ้าไม่ได้นาฬิกาปลุกก็คงไปทำงานสาย ไปแปรงฟันแล้วอาบน้ำ ตอนเช้าอากาศหนาวแฮะ เปิดเครื่องทำน้ำร้อนหน่อยดีกว่า ทั้งนาฬิกาปลุก และเครื่องทำน้ำร้อนก็เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ช่วยให้ชีวิตประจำวันสะดวกสบายขึ้น ดีไหมล่ะ เทคโนโลยีน่ะ





ผมคงจะคิดว่าโลกที่มีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าย่อมดีกว่าโลกที่มีวิถีชีวิตแบบโบราณเป็นแน่ จนกระทั่งวันหนึ่งความคิดของผมก็เปลี่ยนไป



เรื่องมีอยู่ว่าวันนั้น ผมตื่นสาย เพราะนาฬิกาปลุกเสียขึ้นมา เลยส่งผลให้ผมไปทำงานสายเช่นกัน แต่ผมก็ยังพยายามทำงานอยู่ แต่แล้วเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ผมทำงานก็มีปัญหา เสียเวลาตามช่างมาซ่อมอีก ในวันนั้น ผมทำงานไม่ค่อยได้มากเท่าไรนัก (อันที่จริงก็ไม่ค่อยทำงานอยู่แล้ว) การค้นหาข้อมูลก็ต้องใช้ระบบกระดาษแทน ทำให้เสียเวลา แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร เรื่องมันเริ่มขึ้นในตอนเย็นต่างหาก ในขณะที่กำลังนั่งรถสาย ๕๒๔ กลับบ้านนั้น ผมก็ตรวจข่าวจากทางอินเตอร์เน็ตไปด้วย ข่าววันนี้มีแต่เรื่องที่ไม่ดี ผู้หญิงถูกลวงไปกระทำชำเรา เนื้อหาข่าวบอกว่า ฝ่ายหญิงติดต่อกับคนร้ายเป็นประจำทางอินเตอร์เน็ต (โดยไม่รู้ตัวว่าอีกฝ่ายเป็นคนร้าย) ไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อน พอรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ไปพบเจอกับคนร้ายตรงที่เกิดเหตุแล้ว อีกข่าวเป็นเรื่องของการที่ดาราถูกนำภาพลงมาตัดต่อโดยใช้เทคนิคคอมพิวเตอร์กราฟฟิค ข่าวการใช้กล้องวิดีโอแอบถ่ายภาพใต้กระโปรงผู้หญิง ข่าวคนอาบน้ำถูกไฟฟ้าจากเครื่องทำน้ำอุ่นดูดจนตาย มาดูข่าวต่างประเทศกันบ้าง มีเรื่องข้อมูลทางด้านความมั่นคงของประเทศญี่ปุ่นถูกจารกรรมจากระบบคอมพิวเตอร์ ข่าวเครื่องบินตกที่ประเทศ X ข่าวผลกระทบจากการใช้พืช GMO ข่าวงานวิจัยเกี่ยวกับรังสีที่เป็นอันตรายของเตาไมโครเวฟ ฯลฯ











พอกลับถึงบ้านแล้ว จัดการปิดประตูเรียบร้อยแล้ว ขอกินข้าวก่อนก็แล้วกัน ปรากฏว่า เตาไมโครเวฟเสีย อุ่นอาหารกินไม่ได้ ต้องกินทั้งที่ยังเย็น ๆ อยู่นั่นแหละ พออาบน้ำเสร็จ ก็เข้านอนเลย ตื่นมาอีกที ตอนตีสอง เอ! ทำไมถึงได้ร้อนอย่างนี้นะ ปรากฏว่า ไฟดับ มิน่าล่ะ เหงื่อออกโชกเลย เปิดไฟฉายก่อนดีกว่า ให้ตายเถอะ! ถ่านหมดอีก ต้องออกจากห้องไปทั้งที่มืด ๆ อยู่นี่ล่ะ เฮ้อ! ไม่ได้เตรียมเทียนไขไว้สำหรับกรณีนี้เสียด้วยสิ คงต้องรออีกสี่ชั่วโมง กว่าจะเช้า ในระหว่างนี้ พยายามนอนหลับดีกว่า แต่ไม่นานผมก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงประกาศเตือนภัยดังลั่น






ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ขณะนี้ ฝูงบินรบและกองกำลังของข้าศึกกำลังบุกโจมตีกรุงเทพฯ อย่างหนักขอให้อพยพด่วน ย้ำ ขอให้อพยพด่วน! ศัตรูใช้อาวุธที่ร้ายแรงมีอานุภาพทำลายล้างสูง









นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย! เรามีสงครามกันตั้งแต่เมื่อไร ต้องรีบตรวจดูข่าวแล้ว แต่ไฟดับนี่หว่า งั้นโทรศัพท์ถามใครก็ได้ แต่ว่าโทรศัพท์มือถือก็ไม่มีสัญญาณซะอีก อินเตอร์เน็ตก็ใช้ไม่ได้อีก เวรแล้ว! ทำไงดี งั้นต้องรีบออกจากบ้านแล้ว ได้ยินเสียงระเบิดและเสียงคนหวีดร้องระงมไปทั่ว ทำไงดี ออกไปข้างนอกก็พบซากปรักหักพังของตึกรามบ้านช่องที่ถูกระเบิดใส่ แล้วก็นั่น เครื่องบินรบของฝ่ายข้าศึก ทิ้งระเบิดลงมาใส่ตึกแล้ว เป็นระเบิดเพียงลูกเดียวที่เห็น แต่ก็ทำให้เกิดแสงสว่างวาบแล้วหลังจากนั้น ผมก็กระเด็นออกไป แต่โชคดีที่ผมไม่ได้รับบาดเจ็บหนักอะไรนัก และก็ไม่ได้สลบด้วย เพราะอย่างนั้น ผมถึงได้เห็นบ้านเรือนและตึกอันสูงใหญ่ไม่เหลือแม้แต่เศษซากเลย เทคโนโลยีช่วยทำให้อาวุธมีอานุภาพทำลายล้างแรงสูง ถ้าเป็นในอดีตที่รบกันด้วยหอกดาบคงไม่เสียหายมากขนาดนี้เป็นแน่ อูย เจ็บจริงแฮะ ผมพยายามจะยันตัวลุกขึ้น ซึ่งก็ต้องใช้เวลานานพอสมควร แต่ก็ยังดีที่ลุกขึ้นมาได้ ทำไงต่อดี ทำไงต่อดี เอ๊ะ! นั่น ทหารหรือเปล่า โชคช่วยแล้ว ผมร้องขอความช่วยเหลือ แล้วพวกเขาก็เข้ามาหาผม เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้ ผมก็รู้ว่าไม่ควรเรียกร้องความสนใจเลย พวกเขาที่อยู่ในชุดทหาร ไม่ใช่ทหารฝ่ายเรา อันที่จริง พวกเขาไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นหุ่นยนต์ที่รูปร่างคล้ายมนุษย์ นี่เจ้าพวกข้าศึกของเรามีเทคโนโลยีขั้นสูงอยู่หรือนี่ พวกเขาสามารถสร้างกองทัพหุ่นยนต์ออกมาใช้ทำสงครามแทนทหารของพวกเขาได้ ดูไปเจ้าพวกหุ่นยนต์นี่ท่าทางทรงพลังมาก ให้ตายเถอะ นี่ไม่น่าจะเป็นความจริงเลย แต่เทคโนโลยีก็ทำให้มันเป็นไปได้แล้ว เจ้าพวกหุ่นสังหารแบบในหนังเรื่อง The Terminator (๑) หรืออย่างในหนังเรื่อง I, Robot (๒) ได้กลายเป็นความจริงเสียแล้ว แล้วผมจะทำอย่างไรดี แต่ใจเย็น ๆ ไว้ก่อน พวกนี้อาจจะไม่ทำร้ายผมหรอกก็เพราะผมไม่ใช่ทหารนี่ และหุ่นยนต์จะต้องไม่ทำร้ายมนุษย์ นั่นเป็นกฎข้อแรกของหุ่นยนต์เลยนะ (๓) แต่คิดอีกที นี่มันหุ่นยนต์ทหารนะ ต้องถูกออกแบบโปรแกรมมาเพื่อการทำลายล้างอยู่แล้ว ถ้างั้นเอาไงดี เอาไงดี ผมลนลาน แว้ก ! พวกมันยื่นมือมาแล้ว อย่านะ! โครม!




อูย! ผมเจ็บเหลือเกิน อ้าว! นี่ผมฝันไปหรอกหรือ บ้านเมืองเราไม่ได้ถูกโจมตีจากข้าศึก หรือกองทัพหุ่นยนต์ที่ไหนหรอก เฮ้อ! ค่อยยังชั่วหน่อย แต่ไฟดับนั้นเป็นเรื่องจริง และผมก็ยังไม่ซ่อมนาฬิกาปลุกด้วย ไม่มีเวลาแล้ว รีบไปอาบน้ำ แปรงฟันแล้ว ไปทำงานดีกว่า







ระหว่างที่นั่งรถประจำทางมาที่ทำงาน ผมก็นึกทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อวานจนถึงฝันของเมื่อคืนนี้




ผมคิดว่า เทคโนโลยีนั้นเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นต่อการดำเนินชีวิตของคนเรา




โลกในทุกวันนี้มีความเจริญก้าวหน้าได้ก็เพราะเทคโนโลยี




คนเราใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบายก็เพราะเทคโนโลยี




คนเรามีอายุยืนยาวขึ้นก็เพราะเทคโนโลยี




คนเรามีความรู้มากขึ้นก็เพราะเทคโนโลยี




เราสามารถใช้เทคโนโลยีในการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล




เราสามารถใช้เทคโนโลยีในกระบวนการยุติธรรม (เช่นในเรื่องการตรวจ DNA เป็นต้น)




เราสามารถใช้เทคโนโลยีช่วยในการทำงาน




ฯลฯ




แต่ เมื่อเทคโนโลยีมีคุณอนันต์ เทคโนโลยีก็มีโทษมหันต์เช่นกัน




เทคโนโลยีทำให้เรามีความเป็นส่วนตัวน้อยลง




เทคโนโลยีทำให้เกิดมลภาวะที่ร้ายแรงได้




เทคโนโลยีทำให้สุขภาพเสียหาย




และถ้าเทคโนโลยีตกไปอยู่ในมือของคนชั่วล่ะก็




ก็จะมีการใช้เทคโนโลยีในการก่ออาชญากรรม




จะมีการใช้เทคโนโลยีในการจารกรรมข้อมูลที่สำคัญ




จะมีการใช้เทคโนโลยีไปโดยไม่คำนึงถึงศีลธรรม




จะมีการใช้เทคโนโลยีเพื่อการยั่วยุ หรือ การปลุกระดมได้




จะมีการใช้เทคโนโลยีในการทำลายล้าง สร้างอาวุธสงคราม




ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก




อนึ่ง เมื่อคนเราพึ่งพาเทคโนโลยีมากเกินไปก็จะก่อให้เกิดผลเสียเช่นกัน ลองติดตามข่าวที่คนเล่นเกมส์ติดต่อกันเป็นเวลานานจนตายดูก็ได้ครับ นั่นก็เป็นผลเสียจากการติดเทคโนโลยีอย่างหนึ่งเหมือนกัน




นอกจากนี้ ลองคิดดูว่า ถ้าคนเราพึ่งพาแต่เทคโนโลยีมาก ๆ แล้ว ซักวันเกิดเทคโนโลยีเหล่านั้นเกิดใช้การไม่ได้ขึ้นมาจะทำอย่างไร




เช่นใช้คอมพิวเตอร์เป็น แล้วเกิดไฟดับขึ้นมา ใช้คอมพิวเตอร์ไม่ได้ ต้องหันไปใช้วิธีเขียนด้วยมือ หรือพิมพ์ก็ทำไม่เป็น หรือไฟดับ แล้วไม่ได้เตรียมเทียนไขไว้ อย่างที่กล่าวมาข้างต้น




หรือถ้าเกิดน้ำมันเกิดหมดโลกขึ้นมา แล้วหาพลังงานอย่างอื่นมาชดเชยไม่ได้ ก็คงไม่มีเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะต่าง ๆ ซึ่งก็หมายความว่าจะต้องกลับไปใช้ยานพาหนะสมัยก่อน ใช้ช้าง ม้า เกวียน เรือใบ ในการเดินทาง แล้วจะรู้วิธีใช้ยานพาหนะเหล่านั้นหรือไม่ แล้วคนในสมัยปัจจุบันจะมีความอดทนพอที่จะเดินทางโดยใช้ยานพาหนะสมัยโบราณในการเดินทางได้หรือเปล่า ถ้าหลงทางไปไม่มีเครื่อง GPS แล้วจะสามารถหาทางเอาตัวรอดได้ไหม จะหาทิศทางโดยอาศัยดวงดาวได้หรือไม่ จะสามารถทำอาหารโดยไม่ใช้เตาไมโครเวฟได้หรือไม่ ฯลฯ




เทคโนโลยีบางอย่าง เช่น เรื่องการโคลนนิ่งมนุษย์ และพืชดัดแปลงพันธุกรรม ก็ยังมีปัญหาในเรื่องของสิ่งแวดล้อมและเรื่องของศีลธรรมด้วย




ผมจึงคิดได้ว่า ทางที่ดี จะต้องสอนให้คนเราเรียนรู้และใช้เทคโนโลยีได้อย่างดี แต่ในขณะเดียวกันจะต้องสอนให้สามารถเอาตัวรอดโดยไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีได้ด้วยเช่นกัน และนอกจากนี้จะต้องมีมาตรการทั้งทางกฎหมาย และทางสังคมต่อการใช้เทคโนโลยีให้อยู่ในกรอบของศีลธรรมและความพอดีด้วยเช่นกัน




เห็นด้วยกับผมไหมครับ







ส่งท้าย




และแล้วผมก็มาถึงที่ทำงาน ผมรูดบัตรกับเครื่องรูดบัตร และขึ้นไปทำงานโดยเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ ดูเหมือนว่า ไม่ว่าจะอย่างไร ผมและพวกเราทุกคนก็ต้องเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีอยู่ดี







จบ







(๑) โปรดดูข้อมูลภาพยนตร์เรื่องนี้ได้จาก http://en.wikipedia.org/wiki/The_Terminator




(๒) โปรดดูข้อมูลภาพยนตร์เรื่องนี้ได้จาก http://en.wikipedia.org/wiki/I,_Robot_(film)




(๓) สามารถอ่านเรื่องกฎสามข้อของหุ่นยนต์ได้จากhttp://en.wikipedia.org/wiki/Three_Laws_of_Robotics






















วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554

ภัยจากมนุษย์และภัยธรรมชาติ

นับตั้งแต่เริ่มปี พุทธศักราช ๒๕๕๔ เป็นต้นมา ดูเหมือนว่าโลกของเราจะประสบภัยพิบัตินานัปประการ
ทั้งจากภัยธรรมชาติ อันได้แก่ แผ่นดินไหว สึนามิ น้ำท่วม และภัยจากมนุษย์ด้วยกัน ทั้งสงคราม
กลางเมือง และการก่อการจลาจล
สิ่งเหล่านี้ เป็นลางบอกเหตุอะไรหรือไม่ ลองมาดูกันดีกว่า




















คำทำนาย















มีคำทำนายมากมายที่บอกกล่าวถึงหายนะของโลกมนุษย์ แต่ผู้เขียนจะขอยกตัวอย่างเพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา ก็แล้วกัน โดยส่วนหนึ่งของเพลงยาวดังกล่าวมีว่า

















"...คือเดือนดาวดินฟ้าจะอาเพท อุบัติเหตุเกิดทั่วทุกทิศาน
มหาเมฆจะลุกเป็นเพลิงกาล เกิดนิมิตพิศดารทุกบ้านเมือง
พระคงคาจะแดงเดือดดั่งเลือดนก อกแผ่นดินจะบ้าฟ้าจะเหลือง
ผีป่าก็จะวิ่งเข้าสิงเมือง ผีเมืองนั้นจะออกไปสู่ไพร
....ทั้งเข้าก็จะยากหมากจะแพง สารพันจะแห้งแล้งเป็นถ้วนถี่
จะบังเกิดทรพิษมิคสัญญี ฝูงผีจะวิ่งเข้าปลอมคน
กรุงประเทศราชธานี จะเกิดการกุลีทุกแห่งหน
จะอ้างว้างอกใจทั้งไพร่พล จะสาละวนทั่วโลกหญิงชาย
...จะรบราฆ่าฟันกันวุ่นวาย ฝูงคนจะล้มตายลงเป็นเบือ..."


(ปรีดี พิศภูมิวิถี.จากบางเจ้าพระยาสู่ปารีส.กรุงเทพฯ: มติชน, ๒๕๕๑ น.๑๐๔-๑๐๕)


























เป็นเรื่องที่น่าแปลกว่าเหตุการณ์ตามเพลงยาวดังกล่าวซึ่งทำนายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับอาณาจักรอยุธยา กลับไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับกรุงศรีอยุธยาเท่านั้นแต่เกิดขึ้นทั้งโลกในเวลานี้ ไม่น่าเชื่อว่าคนในยุคนั้นจะสามารถทำนายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างถูกต้องถึงเพียงนี้






















เหตุวิบัติในปัจจุบัน















โลกในปัจจุบันมีความเจริญก้าวหน้าในทางวิทยาการในด้านต่าง ๆ และในอนาคตก็จะเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้นกว่านี้อีก แต่ความก้าวหน้าดังกล่าว เป็นเพียงความก้าวหน้าทางด้านวัตถุเท่านั้น หาได้รวมถึง
ความก้าวหน้าในเรื่องจิตใจของมนุษย์ไม่ จิตใจของมนุษย์ในยุคปัจจุบันกลับต่ำทรามลงอย่างน่าใจหาย หากได้อ่านได้ฟังข่าวทั้งในประเทศและต่างประเทศ ก็จะพบว่ามีแต่ข่าวร้าย ข่าวอาชญากรรม
ข่าวก่อการร้าย ข่าวปัญหาสังคม ข่าวปัญหาเศรษฐกิจ ข่าวภัยพิบัติทางธรรมชาติเกิดขึ้นอยู่ทุกวันจนกลายเป็นเรื่องปกติของสังคมโลกไปเสียแล้ว ลองดูข่าวที่เด่นดังนับตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมาก็ได้ครับ ถ้าไม่นับข่าวพิธีอภิเษกสมรสระหว่างเจ้าชายวิลเลียมกับนางสาวเคต มิดเดลตันแล้ว ข่าวที่ตามมาก็มักจะเป็นข่าวที่ไม่ดี



















-ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแผ่นดินไหวในนิวซีแลนด์









-สึนามิถล่มญี่ปุ่นและผลกระทบที่ตามมาจากโรงงานไฟฟ้าพลังปรมาณู









-สงครามกลางเมืองในลิเบีย









-การก่อการจลาจลในอังกฤษ




















-การสังหารหมู่ในประเทศนอร์เวย์









-เหตุการณ์ก่อความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย









-การปะทะกันด้วยกำลังทหารระหว่างไทยกับกัมพูชา









-ความขัดแย้งระหว่างจีนกับเวียดนาม









-วิกฤติเศรษฐกิจและการประท้วงในประเทศกรีซ
















ฯลฯ























ทำไมถึงมีแต่ข่าวประเภทนี้ละครับ เป็นไปได้ไหมครับว่า ที่โลกมนุษย์เป็นเช่นนี้เพราะเกิดขึ้นจากน้ำมือของมนุษย์เอง ที่เห็นได้ชัดก็คือ การทะเลาะวิวาท การก่ออาชญากรรม การก่อการจลาจล การก่อการร้าย การทำสงคราม การทุจริต การฉ้อราษฎร์บังหลวง ล้วนแต่เป็นผลมาจากฝีมือของมนุษย์ทั้งสิ้น ส่วนภัยพิบัติทางธรรมชาตินั้นถึงแม้ว่าจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่มนุษย์เราก็มีส่วนในการเร่งกระบวนการให้เกิดภัยธรรมชาติถี่ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการตัดไม้ทำลายป่า การใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างฟุ่มเฟือย การสร้างโรงงานอุตสาหกรรม การใช้รถยนต์จำนวนมากมายมหาศาล การทิ้งขยะลงในที่สาธารณะ และแม่น้ำลำคลอง การสร้างเขื่อน การสร้างตึกสูงจำนวนมาก การล่าสัตว์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทั้งสิ้น ภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเป็นผลมาจากการดำเนินกิจกรรมของมนุษย์เรานี่แหละครับ
















ผลที่ตามมาจากการกระทำของมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี ทำให้เกิดหายนะขึ้นทั้งต่อโลกมนุษย์และต่อธรรมชาติ ทำให้สภาพแวดล้อมเสียสมดุล ทำให้สังคมโลกเกิดความปั่นป่วน หากยังคงปล่อยให้สภาพการณ์เป็นเช่นนี้อยู่ต่อไป โลกก็คงถึงคราววิบัติ มนุษย์และสรรพสัตว์ก็อาจถึงคราวสูญพันธุ์ เหตุการณ์ที่ผู้คนถืออาวุธเข้ารบราฆ่าฟันกันแบบที่เห็นในภาพวาดตามกำแพงวัดทำนายเหตุการณ์ในยุคสิ้นพระพุทธศาสนา ก็จะเกิดขึ้น เราอยากให้เป็นเช่นนั้นอยู่อีกหรือ?















หนทางแก้ไข














หากไม่อยากให้เหตุการณ์เลวร้ายลงกว่านี้ มนุษย์ทุกคนต้องช่วยกันแก้ไขปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้น โดยเริ่มต้นจากตัวเองก่อน แล้วจึงสอนคนอื่นให้ทำตาม














เริ่มจากอะไรล่ะ ?














เริ่มจากการปลูกฝังจิตสำนึกในการรักโลก และรักสันติภาพให้เกิดขึ้นในโลกนี้อย่างจริงจังเสียก่อน ซึ่งมีอยู่หลายวิธีด้วยกัน ทั้งการสอนในชั้นเรียน การรณรงค์ผ่านทางสื่อต่าง ๆ การจัดกิจกรรม






จำได้ว่าสมัยยังเป็นเด็กเคยดูการ์ตูนอเมริกันเรื่อง Captain Planet และเรื่อง Free Willy ซึ่งการ์ตูนเรื่องแรกเกี่ยวข้องกับการรักษาสิ่งแวดล้อม ส่วนเรื่องที่สองก็เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมเหมือนกัน แต่เน้นที่ความผูกพันระหว่างมนุษย์กับวาฬเพชรฆาต และสรรพสัตว์ นอกจากนี้ ในการ์ตูนเรื่องโดราเอมอนก็มีอยู่หลายตอนด้วยกันที่กล่าวถึงเรื่องของปัญหาสิ่งแวดล้อม การ์ตูนเหล่านี้เป็นแนวทางหนึ่งในการปลูกฝังให้เด็กและผู้ใหญ่ (ที่ชอบดูการ์ตูน) มีจิตสำนึกในการรักษาสภาพแวดล้อมและรักสัตว์ นอกจากนี้การสนับสนุนให้ใช้วิทยาการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และใช้พลังงานจากธรรมชาติที่ไม่ทำลายสภาพแวดล้อมก็เป็นหนทางหนึ่งในการรักษาสภาพแวดล้อมเช่นกัน






วิธีการที่ดีที่สุดในการปลูกฝังคนไม่ให้ทำลายสิ่งแวดล้อมและไม่ให้ใช้ความรุนแรงต่อกัน ก็คือ การปลูกฝังคำสอนทางด้านศีลธรรมให้กับคนทุกระดับ โดยเฉพาะคำสอนทางพระพุทธศาสนา ซึ่งสอนให้คนรักสันติ ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน ไม่ฆ่า ไม่ประทุษร้ายต่อคนและสรรพสัตว์ ไม่ลักขโมย ไม่ดื่มสุรา ไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่ประพฤติผิดในกาม ฯลฯ




ถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะต้องช่วยจรรโลงโลกใบนี้ให้กลับมาน่าอยู่เหมือนที่เคยเป็นมาเหมือนในอดีต เพราะถ้าไม่ช่วยกันแล้ว โลกนี้ก็คงกลายเป็นดาวที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพังของอารยธรรมที่เคยรุ่งเรือง และกลายเป็นดาวแห่งความตายที่ไร้สิ่งมีชีวิตอยู่อาศัยในที่สุด



คงต้องกลับมาถามตัวเราเอง เหมือนกับที่รุ่นพี่ที่ทำงานผมคนหนึ่งเคยถามผม (อย่างกวน) ว่า


"อยากมีวันพรุ่งนี้มั๊ย !"



ถ้าอยากมี ก็ต้องช่วยกันครับ































วันพฤหัสบดีที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2554

สดุดีคุณครู

ปุจฉา: ทำไมเราเคารพครู ?


วิสัชนา: เพราะครูคือผู้หลักผู้ใหญ่ เป็นผู้มีพระคุณต่อศิษย์มากมาย ช่วยให้ศิษย์มีความก้าวหน้า ประเทศชาติพัฒนาก้าวไกล


ปุจฉา: ครูมีพระคุณต่อศิษย์อย่างไร ?


วิสัชนา: โดยการถ่ายทอดวิชาความรู้ให้ ทั้งสั่งสอนให้ศิษย์มีระเบียบวินัย เติบโตไปในภายภาคหน้า ศิษย์ผู้มีศิลปวิทยา จะสามารถดำรงตนและครอบครัวในสังคมได้ จะไม่อดตาย และจะเป็นผู้เคารพต่อกฎหมายบ้านเมือง


ปุจฉา: ทำไมจึงกล่าวว่าครูเป็นผู้ช่วยให้ศิษย์เป็นผู้เคารพกฎหมายบ้านเมือง ?


วิสัชนา: สังคมจะเจริญรุ่งเรือง ประเทศชาติประเทือง ก็ด้วยคนเคารพต่อกฎหมาย หากศิษย์ของครูคนใด ไม่เอาถ่านไซร้ กลั่นแกล้งคนอื่น ทั้งยังฝ่าฝืนระเบียบวินัยนักเรียน ครูมีสิทธิตีเฆี่ยน เพื่อให้ศิษย์นั้นหวั่นเกรง จะได้เลิกคิดเป็นนักเลง หันกลับมาเป็นคนดี การลงโทษของครูนี้ ใช่ว่าจะมี เพื่ออำนาจอำเภอใจ แต่เป็นการลงโทษตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ เป็นการสั่งสอนให้ ศิษย์รู้จักเคารพกติกาของสังคม


ปุจฉา: แล้วอุดมการณ์ของครูนั้นสำคัญไฉน ?


วิสัชนา: มีความสำคัญยิ่งใหญ่ เพราะครูคือผู้อุทิศตน เพื่อศิษย์ทุกคน โดยไม่ย่อท้อทั้งกายและใจ แม้ถิ่นทุรกันดารใด แม้จะต้องเสี่ยงอันตรายแค่ไหน แม้ไม่ได้รับการเหลียวแลจากใคร ครูก็ยังทำหน้าที่ของครูต่อไป
ฉะนั้น ครูจึงเป็นปูชนียบุคคลทางด้านการศึกษา เป็นผู้ควรแก่การเคารพยกย่องบูชา ควรแก่การกราบไหว้ ประเทศไทยจะเจริญรุ่งเรือง ก็เพราะครู




ขอสดุดีคุณครู


วันจันทร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2554

อวยพรปีใหม่

เนื่องในโอกาสปีใหม่ พ.ศ. ๒๕๕๔ (ค.ศ. ๒๐๑๑) ขออวยพรปีใหม่ให้ผู้ที่อ่านและไม่อ่าน Blog ของผู้เขียนทุกคน โดยขออวยพรดังนี้

ขอให้ทุกท่านประสบแต่ความสุข ความเจริญ โดยการที่ทุกท่านจะประสบความสุขความเจริญได้นั้น ทุกท่านจะต้องมีและทำให้มีซึ่งสิ่งต่อไปนี้



๑) ความมั่นคง - ความมั่นคงย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่าความมั่งคั่ง เพราะความมั่งคั่งย่อมหมายถึงเฉพาะแต่ความกินดีอยู่ดีทางด้านการเงินเท่านั้น และความมั่งคั่งย่อมเสื่อมสูญไปได้ แต่ความมั่นคงจะช่วยให้วิถีชีวิตของเรามีความสุขมากกว่าและกว้างขวางกว่า ทั้งความมั่นคงในครอบครัว ในด้านฐานะทางการเงิน ในด้านการทำงาน ในชีวิตสมรส เป็นต้น



๒) ความพอดี - ความพอเหมาะพอดีย่อมเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความสุข เพราะชีวิตเราจะไม่สุดโต่งไปในทางใดทางหนึ่งมากจนเกินไป และสุขภาพเราก็จะดีตามไปด้วย เราจึงควรใช้ชีวิตอย่างพอดีกล่าวคือ ทำงานให้พอดี พักผ่อนให้พอดี กินให้พอดี ออกกำลังกายให้พอดี อ่านหนังสือให้พอดี ฯลฯ



๓) ความรู้ความสามารถ - เพราะความรู้ความสามารถช่วยให้เราสามารถทำงาน และแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราได้ และยังทำประโยชน์แก่ส่วนรวม ก่อให้เกิดความเจริญก้าวหน้าแก่สังคมและประเทศชาติได้อีกด้วย นับเป็นสิ่งที่ช่วยให้เกิดความเจริญโดยแท้



๔) ความขยันหมั่นเพียรและความอดทน - คนที่มีความขยันหมั่นเพียรจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จและความเจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน ซึ่งเป็นประโยชน์ทั้งต่อตนเอง ครอบครัว และประเทศชาติ คนที่มีความขยันจะไม่อดตายอย่างแน่นอน ทั้งนี้ ความขยันจะต้องมาคู่กับความเพียรพยายาม และจะต้องมีความอดทนควบคู่กันไปด้วย เพราะในการดำเนินชีวิต และการทำงาน ใช่ว่าจะมีแต่ความราบรื่นเรียบร้อยเสมอไป ย่อมจะต้องมีอุปสรรคมาขวางกั้นเป็นธรรมดา และจะต้องเจอกับการทดสอบอันหนักหน่วงแน่นอน แต่ไม่ว่าจะเจอกับปัญหามากมายขนาดไหน หากมีความอดทนแล้ว ก็ย่อมจะผ่านพ้นไปได้ ทั้งนี้ คนที่มีความอดทนก็จะสามารถทำงานที่หนักหนาสาหัสได้ และความอดทนก็จะช่วยไม่ให้เราต้องไปทะเลาะเบาะแว้งกับผู้อื่น ด้วย ความขยันหมั่นเพียรและความอดทนจึงเป็นคุณสมบัติที่คนทำงานทุกคนพึงมี




๕) ความมีน้ำใจ - เราจะใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพังคนเดียวไม่ได้ จะต้องอยู่ร่วมกันกับผู้อื่น การจะอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นได้ก็จะต้องก่อความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น ซึ่งการก่อความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นนั้น ก็ด้วยการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รู้จักให้ความช่วยเหลือผู้อื่นตามสมควรโดยไม่ขัดต่อศีลธรรม รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา พูดจากันด้วยความสุภาพอ่อนน้อม ถนอมน้ำใจ เคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกัน และมีน้ำใจเป็นนักกีฬา รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย สังคมจะอยู่ได้เมื่อคนมีน้ำใจต่อกัน ปฏิบัติตามหลักสังคหวัตถุธรรมต่อกัน
(โปรดดู http://www.dhamma5minutes.com/webboard.php?id=91&wpid=0017
)


๖) ความสงบ - การใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติและความสงบย่อมจะดีกว่าการใช้ชีวิตอยู่กับแสง สี เสียง ความศิวิไลซ์ทางโลก ถึงแม้ว่าความสงบที่ผู้เขียนกล่าวถึงจะยังไม่ถึงขั้นเป็นความสงบระงับจากกิเลสทั้งปวงก็ตาม แต่ความสงบแม้เพียงชั่วครู่ก็จะช่วยให้เกิดความผ่อนคลาย ลดความกระวนกระวายใจและความเครียดไปได้มาก ดังนั้น การเข้าหาความสงบด้วยการไปหาธรรมชาติ การทำสมาธิเบื้องต้น การสวดมนต์ไหว้พระ จึงเป็นสิ่งที่สมควรกระทำ เพื่อให้เกิดความสุข และความสบายใจ คนที่มีความสุขและความสบายใจก็จะมีสุขภาพดี ชีวิตยืนยาว


๗) ความดีงาม - ท้ายสุดแล้วการดำรงชีวิตให้เกิดความสุข ความเจริญ ทั้งปวง นั้น ก็คือ การประพฤติปฏิบัติตนตามหลักศีลธรรม โดยเฉพาะศีลธรรมตามหลักพระพุทธศาสนาซึ่งจะช่วยให้เราดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข ไม่ก่อความเดือดร้อนให้กับตนเอง ไม่ก่อความเดือดร้อนให้กับสังคม ไม่ละเมิดซึ่งกฎหมายบ้านเมือง ไม่ต้องกระวนกระวายใจ ไม่ก่อเวรก่อภัยหรือสร้างศัตรูไว้ ไม่ต้องเป็นหนี้เป็นสิน ตัวเองก็มีความสุข สังคมก็สงบสุข เมื่อสังคมสงบสุข สังคมนั้นก็มีความมั่นคง มีการพัฒนา ความดีงามจึงเป็นสิ่งที่ช่วยให้ทุกคนมีความสุขและความเจริญ นั่นเอง








สวัสดีปีใหม่ครับ

วันอังคารที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2554

เรื่องเด่นแห่งปี ๒๕๕๓

ต่อไปนี้ เป็นสิ่งที่ผู้เขียนเห็นว่า เป็นเรื่องเด่นประจำปี ๒๕๕๓ ที่ผ่านมา ใครเห็นต่างก็ไม่ว่ากัน



เรื่องที่ ๑. งานเด่นประจำปี ๒๕๕๓ คือ งานเล่ม ข. นับเป็นงานที่เด่นมาก เพราะกินเวลาการทำงานที่ทำให้พวกเราแทบบ้า สร้างความตึงเครียดได้เป็นอย่างดี



เรื่องที่ ๒. วาทะเด่นแห่งปี คือ "พี่มีทางเลือกอยู่สองทาง" เพราะไม่มีทางที่สามให้เลือก ฮ่า ฮ่า !



เรื่องที่ ๓. บุคลากรเด่นแห่งปี คือ คนของศูนย์ข้อมูลกฎหมายกลางทุกคน (รวมผู้เขียนด้วย เย้!) เพราะพวกเราทำงานกันเป็นทีม



เรื่องที่ ๔. หัวหน้าดีเด่นแห่งปี คือ ท่านธนาวัฒน์ สังข์ทอง ผู้ซึ่งเป็นผู้อำนวยการที่ทำงานเก่ง รู้ใจลูกน้อง มีความเป็นลูกพี่ที่ดี (มีใครกล้าโต้แย้งไหม?)



เรื่องที่ ๕. การแสดงดีเด่นแห่งปี คือ การแสดงในงานเลี้ยงปีใหม่ของศูนย์ข้อมูลกฎหมายกลาง
(แน่นอนอยู่แล้ว เราเจ๋ง เราไม่ยกตำแหน่งนี้ให้ใคร)



เรื่องที่ ๖. เรื่องน่ายินดีแห่งปี คือ การที่คนของศูนย์ข้อมูลกฎหมายกลางสอบเข้ารับราชการได้



เรื่องที่ ๗. ประสบการณ์เด่นแห่งปี คือ การจัดห้องทำงานใหม่



เรื่องที่ ๘. สุภาพสตรีดีเด่นแห่งปี คือ พี่บี

เรื่องที่ ๙. คนมีน้ำใจดีเด่นแห่งปี คือ ภูมิ กับ พี่อ๊อฟ


สุดท้าย เรื่องที่ ๑๐. ผู้ที่ติดตามผลงานที่ผู้เขียนเขียนดีเด่นแห่งปี ชื่อว่า _ชิระ ป_ก-สี