และแล้ววันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๐๑๒ ก็ผ่านพ้นไปโดยไม่มีเหตุร้ายอันใดเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ คนที่กังวลหรือเชื่อในเรื่องวันที่โลกจะแตกหรือวันสิ้นโลกก็คงคลายความกังวลลงไปได้มาก ส่วนคนที่ไม่เชื่ออย่างผมก็คงไม่ได้วิตกกังวลมากแต่อย่างใด คงใช้ชีวิตไปอย่างสบาย ๆ แม้ว่างานจะเยอะก็ตาม
เรื่องวันสิ้นโลกนี้ก็มีพูดกันมานานมากแล้ว อย่างน้อยในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐก็ลงข่าวเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้นปีแล้ว และหนังสือที่กล่าวถึงเรื่องนี้บ่อยที่ผมอ่านอยู่ก็คือ นิตยสารต่วย ตูน พิเศษ นั่นเอง
ว่าถึงเรื่องวันสิ้นโลกแล้วก็มีข้อน่าคิดอยู่หลายประเด็นที่ผมอยากกล่าวถึงนะครับ
ประเด็นแรก การสิ้นโลกหากเกิดขึ้นจริงแล้วล่ะก็ ก็จักต้องเป็นภัยพิบัติที่รุนแรงมากเลยทีเดียวที่สามารถทำให้โลกซึ่งเป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่งในระบบสุริยจักรวาลต้องถึงคราวแตกดับลงไป ทั้งนี้ เพราะภัยพิบัติจำนวนมากที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้เท่าที่มีการบันทึกกันมานั้น มีอยู่หลายกรณีที่มีความรุนแรง คร่าชีวิตผู้คนไปเป็นจำนวนนับหมื่นนับแสนหรือนับล้านคน ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติจากธรรมชาติอย่างภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหว สึนามิ พายุ น้ำท่วมใหญ่ หรือภัยพิบัติที่เกิดจากฝีมือของมนุษย์อย่างภัยก่อการร้าย ภัยสงคราม เป็นต้น แต่ภัยพิบัติเหล่านั้นก็ยังไม่สามารถทำให้โลกถึงคราวพินาศย่อยยับลงไปได้ (แต่ก็ทำให้สภาพแวดล้อมของโลกย่ำแย่ลงไปมาก) และมนุษย์ชาติเองก็หาทางเอาตัวรอดจากภัยพิบัติเหล่านั้นมาได้
แต่ถัาเป็นกรณีการสิ้นโลกแล้วล่ะก็ทั้งคนและสิ่งมีชีวิตทุกประเภทไม่มีทางรอดหรอกครับ เนื่องจากไม่มีดาวที่มีสภาพแวดล้อมเหมาะสมกับสิ่งมีชีวิตสำหรับอยู่อาศัยอีกต่อไป
ประเด็นที่สอง การที่คนซึ่งเชื่อเรื่องวันสิ้นโลกเกิดอาการตื่นกลัวนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกครับ เพราะทุกคนบนโลกก็ล้วนแต่กลัวการบาดเจ็บล้มตายกันทั้งนั้น แต่หากมัวแต่หวาดกลัวหรือวิตกกังวลกันมากเกินไปจนไม่ทำอะไรเลย หรือมัวแต่อ้อนวอนร้องขอต่อภูติผีและทวยเทพให้ช่วยเหลือ ก็ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นแต่อย่างใด ควรที่จะเตรียมตัวรับมือให้พร้อมสำหรับภัยพิบัติต่าง ๆ มากกว่า เนื่องจากมนุษย์เราเป็นสิ่งมีชีวิตพวกหนึ่งที่ไม่ยอมตายง่าย ๆ ดังนั้น ในภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับภัยพิบัติหลายเรื่อง รวมทั้งเรื่อง 2012 นั้น ตัวละครในเรื่องจึงหาทางดิ้นรนต่อสู้เพื่อให้รอดพ้นจากภัยพิบัติ และในที่สุดก็สามารถรอดชีวิตมาได้ด้วย
ในทางตรงกันข้ามยังมีตัวละครในเรื่องที่ยอมรับความตายอย่างสงบโดยไม่คร่ำครวญแต่อย่างใดเลย
ฉะนั้น หากเกิดเหตุภัยพิบัติที่รุนแรงขึ้นจริงแล้วก็เราก็ควรเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ว่าจะเอาอย่าง
ตัวเอกของเรื่องที่ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาหรือไม่ก็ตัวละครที่ยอมรับชะตากรรมความตายอย่างสงบ มากกว่าที่จะมาร้องไห้คร่ำครวญนะครับ
ตัวเอกของเรื่องที่ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาหรือไม่ก็ตัวละครที่ยอมรับชะตากรรมความตายอย่างสงบ มากกว่าที่จะมาร้องไห้คร่ำครวญนะครับ
ประเด็นที่สาม เป็นเรื่องเกี่ยวกับคำทำนายและชนเผ่าที่เป็นผู้ทำนายเหตุการณ์ ในประเด็นนี้นั้น ผมพบว่าการที่มีคำทำนายเรื่องของวันสิ้นโลกออกมาดังกล่าวเป็นเพียงเรื่องของการตีความปฏิทินและจารึกของชาวมายาเท่านั้น ซึ่งการตีความดังกล่าวอาจจะถูกหรือผิดก็ได้ (ซึ่งก็ปรากฏออกมาแล้วว่าไม่ถูกต้อง) ผู้ที่ทำปฏิทินหรือจารึกนั้นจะได้กล่าวถึงอวสานแห่งโลกหรือไม่นั้นเราไม่อาจทราบได้เลย เมื่อเรายังไม่ทราบแน่ชัดว่าผู้ทำปฏิทินหรือจารึกได้กล่าวคำทำนายอันใดไว้หรือไม่ เราจะไปตื่นกลัวทำไมกับเรื่องวันสิ้นโลกครับ นี่เป็นข้อคิดแรก
อีกข้อคิดหนึ่งก็คือ ชาวมายาผู้ทำปฏิทินหรือจารึกเองนั้น นอกจากจะเป็นชนชาติที่มีความรู้ความสามารถแล้ว ยังน่ายกย่องตรงที่พวกเขายังสามารถดำรงเผ่าพันธุ์และรักษาวัฒนธรรมของตนอยู่ได้ถึงทุกวันนี้ แม้ว่าจะถูกรุกรานและทำลายล้างจากชนชาติสเปนที่เข้ามาล่าอาณานิคม (สามารถอ่านเรื่องเกี่ยวกับชาวมายา และอารยธรรมมายาได้ในเว็บไซต์ wikipedia ภาษาต่าง ๆ) แล้วพวกเราล่ะหากประสบชะตากรรมเดียวกับชนชาวมายาแล้วจะสามารถดำรงเผ่าพันธุ์และรักษาวัฒนธรรมประเพณีของพวกเราไว้ได้หรือไม่
ประเด็นสุดท้าย เป็นเรื่องข้อคิดเห็นที่น่าสนใจจากนักวิทยาศาสตร์ชาวจีน กล่าวคือผมได้มีโอกาสดูสารคดีชุด SCIENTISTS DISCUSSING THE MYSTERIOUS MAYAN CULTURE จากเว็บไซต์สถานีโทรทัศน์ CCTV ซึ่งเป็นสารคดีของจีนจำนวน ๔ ตอน ที่มีนักวิทยาศาสตร์ชาวจีน ๔ คน มาวิเคราะห์ถึงเรื่องคำทำนายของชาวเผ่ามายา และเรื่องปรากฏการณ์ที่จะทำให้โลกถึงกาลอวสาน กล่าวโดยสรุป นักวิทยาศาสตร์ทั้ง ๔ คน ไม่เชื่อว่าจะเกิดปรากฏการณ์ที่จะทำให้โลกสิ้นสุดหรือมนุษยชาติสูญพันธุ์ไปได้ แต่นอกเหนือจากการแสดงความคิดเห็นเรื่องดังกล่าวแล้ว ทั้งสี่คนยังได้แสดงทัศนะที่เกี่ยวกับเรื่องการนำองค์ความรู้ทางด้านธรณีวิทยาและเรื่องดาราศาสตร์มาใช้เพื่อสร้างประโยชน์ให้แก่สังคมและประดิษฐ์สิ่งใหม่ ๆ ดังเช่น ZHU JIN ได้แสดงทัศนะในเรื่องระบบการศึกษาได้อย่างน่าสนใจอย่างยิ่ง เขาได้แสดงทัศนะไว้ตอนหนึ่งว่า พวกเราไม่จำเป็นต้องสอนเด็กทุกเรื่อง ยิ่งสอนมากเด็กจะมีความอยากรู้อยากเห็นน้อยลง เนื่องจากไม่มีเวลาสำหรับสิ่งอื่น ๆ ผมยอมรับว่าดูนักวิทยาศาสตร์จีนแสดงทัศนะแล้วรู้สึกยกย่องนับถือชาวจีนเลยนะครับที่ผลิตสารคดีชุดนี้ออกมาครับ สื่อมวลชนไทยน่าจะเลียนแบบบ้างนะครับ
อาจสรุปได้ว่าความเชื่อเรื่องวันสิ้นโลกนั้นเป็นความเชื่อที่เกิดจากการตีความอย่างผิด ๆ และความไม่รู้ถึงข้อเท็จจริง ประกอบกับมีการปล่อยข่าวออกมา ทำให้เกิดเป็นกระแสดังกล่าวขึ้น ทั้งนี้จากสภาพแวดล้อมในปัจจุบันคงไม่ทำให้โลกถึงคราวสิ้นสุดลงไปได้ แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าโลกจะไม่ถึงคราวอวสาน แต่ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงและบ่อยครั้งทั่วทั้งโลกในเวลานี้ ก็เป็นสัญญาณอันตรายที่บ่งบอกว่าธรรมชาติได้เสียสมดุลจนยากที่จะทำให้กลับคืนสู่สภาพเดิมได้แล้ว นอกจากนี้
การทำสงครามและการก่อการร้ายยังทำลายทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และความสัมพันธ์อันดีงามระหว่างคนในโลกลงไป ซึ่งหากปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปมนุษยชาติก็จะสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ไปโดยไม่ต้องรอให้ถึงวันสิ้นโลกแต่อย่างใด ฝากไว้ให้คิดครับ
อาจสรุปได้ว่าความเชื่อเรื่องวันสิ้นโลกนั้นเป็นความเชื่อที่เกิดจากการตีความอย่างผิด ๆ และความไม่รู้ถึงข้อเท็จจริง ประกอบกับมีการปล่อยข่าวออกมา ทำให้เกิดเป็นกระแสดังกล่าวขึ้น ทั้งนี้จากสภาพแวดล้อมในปัจจุบันคงไม่ทำให้โลกถึงคราวสิ้นสุดลงไปได้ แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าโลกจะไม่ถึงคราวอวสาน แต่ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงและบ่อยครั้งทั่วทั้งโลกในเวลานี้ ก็เป็นสัญญาณอันตรายที่บ่งบอกว่าธรรมชาติได้เสียสมดุลจนยากที่จะทำให้กลับคืนสู่สภาพเดิมได้แล้ว นอกจากนี้
การทำสงครามและการก่อการร้ายยังทำลายทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และความสัมพันธ์อันดีงามระหว่างคนในโลกลงไป ซึ่งหากปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปมนุษยชาติก็จะสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ไปโดยไม่ต้องรอให้ถึงวันสิ้นโลกแต่อย่างใด ฝากไว้ให้คิดครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น