ในช่วงเวลาที่คนไทยจำนวนมากเกิดความขัดแย้งกันในทางการเมืองจนถึงขั้นมีการปะทะกันด้วยกำลังจนทำให้มีผู้บาดเจ็บล้มตาย และมีข้อเสนอให้มีการปฏิรูปการเมืองไทยจากหลายฝ่ายนั้น ข้าพเจ้าในฐานะที่เป็นประชาชนไทยคนหนึ่งก็เลยขอเสนอในเรื่องที่เกี่ยวกับการปฏิรูปการเมืองเพื่อให้ประเทศไทยเดินหน้าไปสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตยบ้าง ข้อเสนอของข้าพเจ้ามีดังต่อไปนี้
๑) การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน
ใครจะให้คำนิยามในเรื่องของการเมืองว่าอย่างไรก็ตาม แต่ข้าพเจ้าขอนิยามว่า การเมืองนั้น เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความเป็นไปและชีวิตประจำวันของคนที่อยู่ในเมืองหรือประเทศนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องในทางสังคม เศรษฐกิจ การดำเนินชีวิตประจำวัน การสาธารณสุข การจราจร การศึกษา ศาสนา การสาธารณูปโภค ความสัมพันธ์กับต่างประเทศ ฯลฯ (๑) การเมืองตามคำนิยามนี้จึงมีความหมายกลาง ๆ ไม่ได้มีความหมายในเชิงบวกหรือในเชิงลบ ไม่ใช่เรื่องของการแย่งอำนาจกันเป็นใหญ่ หรือแสวงหาผลประโยชน์เข้าหาตนเองหรือพวกพ้อง หรือการทำลายฝ่ายตรงข้ามแต่อย่างใด เมื่อการเมืองเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความเป็นไปของคนในสังคม ดังนั้น คนในสังคมนั้น ๆ จึงควรมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตย คนในสังคมยิ่งจะต้องมีส่วนในการกำหนดทิศทางการเมืองเพื่อให้คนในสังคมนั้นอยู่กันโดยปกติสุข
๒) การมีส่วนร่วมทางการเมืองต้องเริ่มตั้งแต่เด็ก
การที่จะทำให้คนในสังคมไทยเห็นความสำคัญและมีส่วนร่วมทางการเมืองนั้นจะต้องเริ่มตั้งแต่เด็ก เราจะต้องปลูกฝังให้เด็กไทยรู้จักว่าการปกครองในระบอบประชาธิปไตยเป็นอย่างไร สอนให้เด็กรู้จักการประชุมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น สอนให้เด็กรู้จักการเคารพการตัดสินใจของคนส่วนใหญ่ (เคารพเสียงข้างมาก) และเคารพกฎระเบียบในสังคม สอนให้เด็กกล้าแสดงออกด้วยถ้อยคำและท่าทีที่สุภาพ สอนให้เด็กใส่ใจในความเป็นไปของสังคมและผู้คนรอบข้าง การปลูกฝังสิ่งเหล่านี้นอกจากการสอนในโรงเรียนแล้ว การอบรมที่บ้านและการปลูกฝังโดยสื่อสารมวลชนเองก็มีความสำคัญมากเช่นกัน ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองและผู้ใหญ่ในครอบครัวจะต้องทำตัวเป็นแบบอย่างให้กับลูกหลานของตนเองในเรื่องของการมีส่วนร่วมทางการเมือง สื่อมวลชนเองต้องนำเสนอข่าวสารและรายการวิเคราะห์ข่าวการเมืองในเชิงสร้างสรรค์และเป็นกลาง ทั้งนี้ สื่อมวลชนควรนำเสนอข่าวที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งของต่างประเทศทุกประเทศ (ไม่จำกัดเฉพาะบางประเทศ) มีการเชิญผู้ที่เชี่ยวชาญในเรื่องทางการเมืองของประเทศนั้น ๆ มาวิเคราะห์ให้ความรู้เกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตยของประเทศต่าง ๆ เพื่อเปรียบเทียบและนำมาปรับใช้กับประเทศไทย
๓) การมีส่วนร่วมทางการเมืองต้องเริ่มที่ชุมชนรอบตัว
๓) การมีส่วนร่วมทางการเมืองต้องเริ่มที่ชุมชนรอบตัว
เนื่องจากชุมชนรอบตัวเป็นชุมชนที่ใกล้ชิดกับตัวเรา หากเกิดปัญหาใดขึ้นย่อมกระทบต่อตัวเรา การเริ่มที่ชุมชนรอบใกล้ตัวก่อนจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เนื่องจากคนในชุมชนย่อมรู้จักปัญหาในชุมชนที่ตนเองอาศัยอยู่ การที่คนในชุมชนอยู่ใกล้ชิดกันทำให้ความใกล้ชิดสนิทสนมมีมากกว่าในสังคมใหญ่ที่อยู่ไกลตัว การจะพูดจาปรับความเข้าใจกันในเรื่องใดย่อมเข้าใจกันได้ง่ายกว่า ดังนั้น ควรเริ่มด้วยการประชุมกันของคนในชุมชนนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นคนในตรอกซอกซอยเดียวกัน หมู่บ้านเดียวกัน ตึกแถวเดียวกัน ในแต่ละสัปดาห์หรือแต่ละเดือน เพื่ออภิปรายถึงความเป็นไปในชุมชนนั้น ปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชนนั้น และทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น หรืออาจจะเริ่มต้นด้วยการร่วมมือกันในการทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชน เช่น การเก็บขยะในชุมชน การสันทนาการในชุมชน
การสังคมสงเคราะห์ในชุมชน การผลิตสินค้าในชุมชน เป็นต้น ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้เกิดความสามัคคีในชุมชน อันเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งให้กับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยซึ่งเน้นการมีส่วนร่วมของคนในสังคม
๔) การมีส่วนร่วมทางการเมืองต้องเป็นไปในเชิงสร้างสรรค์
เพราะเป้าหมายของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยก็เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชน ดังนั้น การมีส่วนร่วมในทางการเมืองของคนในสังคมจึงต้องมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม เป็นไปด้วยวิธีการที่ไม่กระทบต่อความสงบเรียบร้อยของสังคมและไม่ละเมิดต่อกฎหมาย การใช้วิธีการที่สร้างสรรค์ย่อมเป็นประโยชน์กว่าการใช้วิธีการกดดันด้วยการก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่บุคคลอื่น ไม่ว่าจะเป็นการยึดสถานที่ราชการ หรือการปิดถนน ฯลฯ ตัวอย่างกรณีของการรณรงค์อย่างสร้างสรรค์ ก็อย่างเช่น การรณรงค์ผ่านทางเว็บไซต์ change.org
ที่ผู้รณรงค์จะอธิบายเหตุผลในการรณรงค์ด้วยถ้อยคำที่สุภาพ ผู้ที่เข้าไปอ่านเรื่องที่มีผู้รณรงค์ก็สามารถเลือกได้ว่าจะลงชื่อเพื่อสนับสนุนการรณรงค์ในเรื่องนั้นหรือไม่ก็ได้
ที่ผู้รณรงค์จะอธิบายเหตุผลในการรณรงค์ด้วยถ้อยคำที่สุภาพ ผู้ที่เข้าไปอ่านเรื่องที่มีผู้รณรงค์ก็สามารถเลือกได้ว่าจะลงชื่อเพื่อสนับสนุนการรณรงค์ในเรื่องนั้นหรือไม่ก็ได้
๕) การมีส่วนร่วมทางการเมืองต้องเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ทุกคนในสังคมต้องสามารถมีส่วนร่วมในทางการเมืองได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการใช้สิทธิเลือกตั้ง การลงสมัครรับเลือกตั้ง การตั้งพรรคการเมือง การใช้สิทธิในการเดินขบวนหรือประท้วงคัดค้านนโยบาย การนำเสนอนโยบายเรื่องต่าง ๆ การนำเสนอร่างกฎหมาย การมีส่วนในการทำประชาพิจารณ์ ประชามติ การตรวจสอบการดำเนินการในทางการเมืองการบริหารประเทศในด้านต่าง ๆ
๖) ทุกคนในสังคมนั้นต้องมีส่วนในการพัฒนาการเมืองเพื่อความก้าวหน้าและผาสุกของประเทศชาติและประชาชน
ด้วยการช่วยกันคิด ช่วยกันทำ ช่วยกันแก้ไขปัญหาของชาติบ้านเมืองผ่านการมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างสร้างสรรค์และด้วยความเสมอภาคเท่าเทียม รู้จักใช้สิทธิ และทำหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด สังคมไทยก็จะพัฒนาก้าวหน้าเป็นสังคมแห่งประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
กล่าวโดยสรุป การดำเนินการทางการเมืองนั้นไม่ใช่เป็นแต่เพียงเรื่องการจัดตั้งพรรคการเมือง การลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎร หรือผู้บริหารขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เท่านั้น แต่เป็นการที่คนในสังคมมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการความเป็นไปในสังคมนั้น ๆ ไปด้วยกัน โดยใช้วิธีการที่สร้างสรรค์ สันติ เป็นไปตามกฎหมาย เพื่อเป้าหมายคือ ประโยชน์และความก้าวหน้าของสังคมนั้น การปฏิรูปการเมืองไทยเพื่อให้สังคมไทยเป็นสังคมที่เป็นประชาธิปไตย จึงต้องเริ่มที่คนในสังคมนั้นนั่นเอง
มาร่วมมือร่วมใจกันสร้างสรรค์การเมืองของประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยด้วยสันติวิธีกันเถอะครับ
(๑) คำว่า การเมือง ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า Politics ซึ่งมาจากคำว่า politikos ในภาษากรีก มีความหมายว่าที่เกี่ยวกับ เพื่อ หรือเกี่ยวข้องกับพลเมือง http://en.wikipedia.org/wiki/Politics
นอกจากนี้คำว่า Polis ในภาษากรีก ยังมีความหมายถึงเมือง และสามารถหมายถึงความเป็นพลเมืองได้อีกด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น