วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

เราคือเพื่อนกัน

พระราชดำรัส
ในพระราชพิธีออกมหาสมาคม รับการถวายพระพรชัยมงคล
ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม, ๕ ธันวาคม ๒๕๔๒
ข้าพเจ้ามีความปิติชื่นชมยินดียิ่ง ที่ได้เห็นท่านทั้งหลายจากทุกองค์กร และทุกสถาบันพร้อมเพรียงกันมาให้พรวันเกิด ขอขอบพระทัยและขอบใจ ในคำอวยพรอันเปี่ยมด้วยความหวังดีและไมตรีจิต ขอทุกท่านจงได้รับพรและไมตรีจิตของข้าพเจ้าเช่นเดียวกัน ความพร้อมเพรียงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันที่ทุกคนทุกฝ่ายแสดงให้เห็น ให้ข้าพเจ้าระลึกถึงคุณธรรมข้อหนึ่ง ที่อุปถัมภ์และผูกพันคนไทยให้รวมกันเป็นเอกภาพ สามารถดำรงชาติบ้านเมืองให้มั่นคงเป็นอิสระยั่งยืนมาช้านาน
คุณธรรมในข้อนั้นคือ ไมตรี ความมีเมตตา ความดีให้กันและกัน คนที่มีไมตรีต่อกันจะคิดอะไรก็คิดแต่ในทางสร้างสรรค์ ที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลกัน จะพูดอะไรก็ใช้เหตุผลเจรจากันด้วยความเข้าอกเข้าใจกัน จะทำอะไรก็ช่วยเหลือร่วมมือกันด้วยความมุ่งดีมุ่งเจริญต่อกัน ข้าพเจ้าจึงขอให้ท่านทั้งหลายได้พิจารณา ทบทวนให้ทราบตระหนักแก่ใจอีกครั้งหนึ่งว่าในกาย ในใจ ของคนไทยเรา ยังมีคุณธรรมในข้อนี้อยู่หนักแน่น พร้อมมูลเพียงใด จะได้มั่นใจว่า เราจะสามารถรักษาประเทศชาติ และความเป็นไทยของเรา ไว้ได้ยืนยาวตลอดไป

ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ชาวไทยทุกหมู่เคารพบูชา จงอภิบาลรักษาทุกท่านให้มีความสุข ปราศจากมลทิน ทุกข์และภยันตราย มีกำลังกาย กำลังใจและกำลังปัญญา สามารถนำพาบ้านเมืองให้ผ่านพ้นอุปสรรคขวากหนาม บรรลุถึงความวัฒนาผาสุกได้โดยสวัสดี


เราคือเพื่อนกัน

-๑-

          ถึงจะช้าไปสักหน่อย แต่คงไม่สายไปที่จะเผยแพร่บทความนี้นะครับ คือ ผมเห็นว่าสังคมไทยปัจจุบันนี้เต็มไปด้วยความขัดแย้งรุนแรงมากมาย ปรากฏออกมาเป็นข่าวอยู่เสมอ ที่เผยแพร่ไปในโซเชียลมีเดียและทางอินเตอร์เน็ตก็มาก มีตั้งแต่เรื่อง
ความขัดแย้งทางการเมืองไปจนถึงเรื่องขัดแย้งส่วนบุคคล เรื่องของดารา นักแสดง
นักธุรกิจ นักเรียนช่างกลตีกัน ฯลฯ ที่เป็นเช่นนี้ผมคิดว่าเป็นเพราะคนในสังคมไทย (รวมถึงสังคมโลก) ในยุคนี้ขาดธรรมะที่ช่วยยึดโยงให้เราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ธรรมะนั้น คือ ไมตรี หรือ มิตรภาพ นั่นเอง

-๒-

          หญิงชายทั้งหลายนั้น       ควรเห็นกันว่าเปนเพื่อน
ทหารและพลเรือน                  จงฟังคำและจำดี
ชาติเดียวกันทุกคน                  รักแต่ตนจะเสียที
มัวแก่งและแย่งดี                    จนแตกพวกไม่ควรการ
ทหารอย่าข่มเพื่อน                  พลเรือนก็เท่าทหาร
พลเรือนอย่าใจพาล                 อย่าชิงชังซึ่งโยธา
ต่างฝ่ายต้องพึ่งกัน                  ทุกสิ่งสรรพ์สำเร็จนา
โบราณะสุภา                        ษิตะกล่าวก็ควรฟัง...[1]

บทพระราชนิพนธ์ของล้นเกล้าล้นกระหม่อมรัชกาลที่ ๖ จากเรื่อง หนามยอกเอาหนามบ่งนี้ รวมถึงพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบันที่ให้ไว้ในพระราชพิธีออกมหาสมาคม รับการถวายพระพรชัยมงคล ณ พระที่นั่ง
อนันตสมาคม เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๒
[2] ก็ล้วนแต่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของไมตรี ว่าเป็นธรรมะสำคัญที่จะช่วยเสริมสร้างความสามัคคีปรองดองอย่างแท้จริง และนำสังคมไปสู่ความก้าวหน้า


-๓-
สิ่งที่ทำให้คนในสังคมไทยแตกสามัคคีในปัจจุบันนี้ นอกจากเรื่องความไม่เป็นธรรมในสังคมแล้ว ก็เกิดจากการแก่งแย่งผลประโยชน์กัน (เหมือนอย่างในนิทานเรื่องนากทะเลสองตัวแย่งชิ้นส่วนของปลาที่มีเนื้อมากที่สุด) การยึดมั่นในความเห็นของตนและข้อมูลที่ตนได้รับมาว่าถูกต้อง ความคิดของคนอื่นหรือข้อมูลที่คนอื่นได้รับมานั้นผิด ทั้ง ๆ ที่ตนเองอาจจะได้รับข้อมูลเพียงส่วนเดียว (เหมือนอย่างในนิทานเรื่อง
ตาบอดคลำช้าง) และการใช้อารมณ์และความรุนแรงในการแก้ปัญหา (อย่างในนิทานเรื่องน้ำผึ้งหยดเดียว) ทำให้สังคมไทยร้าวรานอย่างหนัก ถ้าคนไทยเราไม่ตระหนักและไม่หาทางแก้ไขปัญหานี้แล้ว สังคมไทยอาจจะถึงขั้นแยกประเทศ หรือเกิดการทำสงครามกลางเมืองกันก็ได้ครับ ดูตัวอย่างจากประวัติศาสตร์ความขัดแย้ง และ
การสงครามที่เกิดขึ้นทั่วโลกในอดีต เป็นอุทาหรณ์ได้ครับ

-๔-
คำถามก็มีอยู่ว่าเราจะแก้ปัญหานี้อย่างไร เราจะปลูกไมตรีให้เกิดขึ้นระหว่างคนไทยกลุ่มต่าง ๆ ด้วยกัน ระหว่างข้าราชการกับประชาชน ระหว่างรัฐบาลกับประชาชน ระหว่างคนนับถือศาสนาต่าง ๆ ระหว่างกลุ่มบุคคลที่มีความคิดเห็นทางการเมืองไม่ตรงกัน ระหว่างพรรคการเมืองต่าง ๆ และ ระหว่างบุคลากรต่างสถาบัน (เช่น ระหว่างนักเรียนช่างกลต่างสถาบันกัน หรือระหว่างตำรวจกับทหาร)
กันอย่างไร ?
คำตอบก็คือ จะต้องเริ่มจากการปลูกฝังความคิดในการมองคนอื่นในสังคมว่าเป็นเพื่อนกันเสียก่อน
คนเราไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตนเองเพียงลำพังนะครับ ต้องพึ่งพาอาศัยคนอื่น ไม่ว่าจะในด้านทรัพยากรก็ดี หรือในด้านความรู้ความสามารถก็ดี เราจึงต้องรู้จักวิธีที่จะสานสัมพันธ์กับคนอื่น ทีนี้ถ้าเรามองคนอื่นว่าเป็นคนเหมือนกับเรา มองว่าคนอื่นเป็นเพื่อน เราก็จะมีอัธยาศัยไมตรีต่อกัน ปฏิบัติต่อคนอื่นในฐานะเป็นคนที่เท่าเทียมกัน คนอื่นมีปัญหาอะไรก็จะพยายามช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน และพร้อมที่จะเดินเคียงข้างไปด้วยกัน ไม่พยายามทำตัวเป็นเจ้าขุนมูลนายที่มีฐานะสูงส่งหรือมีสิทธิพิเศษเหนือคนอื่น หรือแสดงอำนาจข่มหรือกดขี่คนอื่น หรือจ้องจะหาประโยชน์หรือทำลายล้างคนอื่นให้พินาศไป
อนึ่ง ที่ว่ามองคนอื่นเป็นเพื่อนนี้ก็ต้องเข้าใจด้วยนะครับว่า ไม่ใช่เห็นคนอื่นเป็นเพื่อนที่จะมากอดคอ พูดจาสนิทสนม ทำอะไรตลกโปกฮาอะไรกันแบบนี้ แต่หมายถึงมองว่าคนอื่นนั้นเป็นเพื่อนร่วมชาติ เพื่อนร่วมโลกที่มีชีวิตจิตใจเหมือนกับเรา มีสิทธิเสรีภาพอย่างเสมอภาคกันเหมือนกับเรา จึงต้องให้ความเคารพซึ่งกันและกันนั่นเองครับ
ดังนั้น ในสังคมเราจึงยังคงต้องเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ มีระบบอาวุโส และระบบการบังคับบัญชาอยู่ครับ

-๕-
มีเพียงทัศนคติอย่างเดียวไม่พอครับ จะต้องแสดงความเป็นกัลยาณมิตรออกมาทางการกระทำและวาจาด้วย กล่าวคือ ทั้งผู้บริหารประเทศ นักการเมืองและข้าราชการจะต้องเป็นผู้ที่มีความจริงใจต่อประชาชน ทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและขยันหมั่นเพียร จะต้องแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาและมีมารยาท สุภาพเรียบร้อย พูดจาไพเราะอ่อนหวาน พูดด้วยเหตุผล เห็นประชาชนเป็นมิตรของตน และในทางกลับกันประชาชนก็ต้องให้ความเคารพแก่ข้าราชการ นักการเมือง สื่อสารมวลชน และผู้นำของประเทศด้วยเช่นกัน
คนที่เป็นมิตรกันย่อมให้คำแนะนำว่ากล่าวตักเตือนกันได้  ดังนั้น  เมื่อประชาชนเห็นว่าคนกลุ่มใดหรือข้าราชการหรือนักการเมืองหรือผู้บริหารประเทศกระทำในสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม หรือไม่เหมาะสม ประชาชนย่อมมีสิทธิที่จะแสดงความคิดเห็นคัดค้าน หรือตำหนิ หรือให้คำแนะนำได้ และในทางกลับกันฝ่ายรัฐบาล และข้าราชการเมื่อเห็นพฤติกรรมของประชาชนในทางที่ไม่สร้างสรรค์ก็สามารถให้คำแนะนำ ห้ามปราม ตักเตือน ให้ประชาชนละเลิกการกระทำเหล่านั้นได้เช่นกัน
ไม่ใช่ปล่อยปละละเลยเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เสีย
คนเป็นมิตรจะต้องคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน  ดังนั้น ผู้บริหารประเทศและข้าราชการที่เห็นประชาชนเป็นมิตรจะต้องคอยช่วยเหลือประชาชนที่กำลังประสบปัญหาตกทุกข์ได้ยาก เช่น เมื่อเกิดภัยพิบัติขึ้น ทหารและรัฐบาลก็จะต้องให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชน ทั้งในด้านอาหาร ยารักษาโรค หน่วยแพทย์ การคมนาคม เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในช่วงน้ำท่วมใหญ่เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๔ นั่นแหละครับ ในขณะเดียวกันทางฝ่ายประชาชนก็คอยช่วยเหลือรัฐบาลและข้าราชการด้วยการสนับสนุนทางด้านกำลังเงิน กำลังทรัพย์ กำลังพล อาหาร ให้กับฝ่ายรัฐ ดังนี้
คนเป็นมิตรจะต้องไม่ทำลายความไว้วางใจต่อกัน จะต้องรักษาความลับของอีกฝ่าย จะต้องรักษาผลประโยชน์ และชื่อเสียงของอีกฝ่ายไว้  ดังนั้น ฝ่ายผู้บริหารประเทศ ข้าราชการ หรือสื่อสารมวลชนนั้น จะต้องแสดงตนว่าจะเป็นผู้พิทักษ์รักษาผลประโยชน์และชื่อเสียงของประเทศชาติและประชาชน ไม่พยายามสอดส่อง ละเมิดสิทธิส่วนตัวของประชาชน ในขณะที่ประชาชนก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับรัฐบาลในการรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติและราชการด้วยกัน

ความเป็นมิตรกันจะทำให้คนในสังคมมีความสามัคคีรักใคร่กลมเกลียวกัน ร่วมแรงร่วมใจกันทำการงานใหญ่ให้บรรลุผล ความเป็นศัตรูกันจะทำให้คนในสังคมมุ่งทำลายล้างกัน
ฉะนั้น ก็อย่างที่เนื้อเพลงใจประสานใจ ว่าไว้ครับ มาเป็นมิตรกันเถอะครับ

ขอให้ผู้คนในสังคมไทยและสังคมโลกจงเป็นมิตรกันครับ ^ ^

เพราะเราคือเพื่อนกัน
ป.ล.
ดูลักษณะของมิตรแท้ มิตรเทียมได้ที่ https://www.gotoknow.org/posts/418336





         


[1] บทปลุกใจร้อยประการ พระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว.รวบรวมโดย ศาสตราจารย์
ฐะปะนีย์ นาครทรรพ และศาสตราจารย์สุทธิลักษณ์ อำพันธ์วงศ์ , มูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดพิมพ์ในงานพระบรมราชานุสรณ์ พ.ศ. ๒๕๓๐
[2] http://kanchanapisek.or.th/speeches/1999/1205.th.html

วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ฉากต่อสู้

atin@dek-d.com   “คลินิกนักเขียน : MiYu
นามปากกา winsamstag
My.iD : http://my.dek-d.com/dekdee/control/writer.php


Warriors of the wind
สายลมพัดแรงขึ้นทุกขณะที่ขุนพลของทั้งสองฝ่ายจ้องหน้ากัน และแล้วขุนพลแห่งแคทเทินก็พูดขึ้นว่า
“ถ้าอย่างนั้นการต่อสู้ครั้งนี้ก็ให้สายลมเป็นผู้ตัดสินเถอะ” ว่าแล้วขุนพลแมวดำแห่งแคทเทินก็สะบัดมือออกไปก่อให้เกิดคมมีดสายลมขนาดใหญ่ที่สามารถตัดร่างของคนออกเป็นสองส่วนได้อย่างสบาย ๆ พุ่งเข้าใส่คู่ปรปักษ์ซึ่งกำลังยืนกอดอกอยู่ทันที ผู้บัญชาการกองกำลังวิหควายุสยายปีกบินหลบการโจมตีขึ้นฟ้าก่อนที่จะโฉบลงมายังตำแหน่งของผู้ที่โจมตีตน
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!
ขุนพลทั้งสองฝ่ายใช้เล็บเป็นอาวุธฟาดฟันกันด้วยความรวดเร็วและรุนแรง โดยที่ขุนพลนกกางเขนดงเป็นฝ่ายรุกเข้าใส่อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ขุนพลแมวดำต้องกระโดดถอยหลังออกไปหลายก้าวเพื่อรักษาระยะห่าง แต่ขุนพลนกกางเขนดงก็บินเข้ามาประชิดตัวคู่ต่อสู้อย่างรวดเร็ว
เคร้ง! ฝ่ายขุนพลแมวดำใช้เล็บจากมือทั้งสองข้างยันจงอยปากอันแหลมคมของฝ่ายตรงข้ามไว้ไม่ให้จิกเข้ามาได้ ก่อนจะใช้เข่าขวากระแทกที่ลำตัวของฝ่ายวิหคเข้าอย่างจัง
ปึ้ก! เป็นท่าที่ดูรุนแรงแต่ก็ไม่สามารถทะลุทะลวงการป้องกันของชุดเกราะที่ขุนพลฝ่ายวิหคสวมใส่อยู่ได้ ขุนพลแมวดำจึงหมุนตัวเตะเข้าไปที่หน้าของฝ่ายตรงข้าม แต่ก่อนที่เท้าจะเข้าเป้า เป้าหมายก็บินหลบขึ้นไปบนฟ้าแล้ว
“ตาข้าบ้างล่ะ” ขุนพลวิหคสร้างลูกบอลพลังลมออกมาแปดลูกก่อนที่จะบังคับให้โจมตีศัตรูที่ยืนอยู่บนพื้นหินแข็งจากทั้งแปดทิศ ตัวขุนพลวิหคก็บินโจมตีลงมาจากฟากฟ้าเป็นการโจมตีเก้าทิศทางที่ไม่อาจหลบเลี่ยงได้ แต่ไม่ใช่สำหรับขุนพลแมวดำผู้ซึ่งใช้นิ้วทั้งสิบสร้างเข็มสายลมพุ่งเข้าสลายการโจมตีของลูกบอลลมทั้งแปด ก่อนจะรีบรวบรวมพลังลมเข้ามาไว้ที่ฝ่ามือทั้งสองข้างรับการโจมตีจากขุนพลวิหคซึ่งโจมตีมาด้วยท่ากรงเล็บสายลมได้อย่างทันท่วงที
ตูม! พลังลมที่ทั้งสองฝ่ายใช้นั้นรุนแรงจนทำให้พื้นดินที่อยู่รอบข้างเกิดรอยแตกร้าวเป็นทางยาว
“ยังโจมตีเหมือนเดิมเลยนะเวสป้า น่าจะคิดหาทางพลิกแพลงหน่อย ข้าจะได้สนุกกว่านี้” ขุนพลแมวดำพูดพลางยิ้มที่มุมปาก
“แกก็ยังคงรับการโจมตีด้วยวิธีเดิมเหมือนกันแหละน่า เกรากา อีกอย่างท่าดี ๆ ต้องเก็บไว้ใช้ทีหลัง ให้แกได้ตกใจที่จะต้องพ่ายแพ้” ลุฟต์เวสป้าพูดจบก็เหินขึ้นไปบนฟ้าอีกครั้ง แต่
ฟุ่บ ! หมับ! เกรากา วินด์ดิกา ขุนพลแมวดำใช้พลังของแส้แห่งสายลมพันขาซ้ายของคู่ต่อสู้ไว้ไม่ยอมให้อีกฝ่ายหนีขึ้นไปบนฟากฟ้าได้ และยังพยายามเหวี่ยงตัวขุนพลวิหคให้หมุนไปรอบ ๆ อีกด้วย
“เอาอย่างนั้นก็ได้” ขุนพลแห่งเบิร์ดโดวิงกา จึงกระพือปีกสร้างลมหมุนขึ้นมา
“ข้าก็ต้องการแบบนี้เหมือนกัน” เกราการ่ายคาถาอย่างรวดเร็ว ลมหมุนก็แรงขึ้นจนกลายเป็นทอร์นาโดขนาดยักษ์ที่พัดทำลายพื้นที่โดยรอบทันที ส่งผลให้เด็กหนุ่มจากกรุงเทพมหานครที่แอบดูการต่อสู้อยู่ต้องรีบวิ่งหนีลมพายุที่พัดมาทางที่เขาแอบอยู่
“เหวอ! ว้าก! ช่วยด้วย!กล้าวิ่งหน้าตื่นพลางร้องเสียงหลง
“รอจิ๊บ จิ๊บ ด้วย!นกกระจิบอ้วนขนาดเท่าผลแตงโมตัวหนึ่งบินตามหลังเด็กหนุ่มมา
“อย่าทิ้งข้าไว้สิขอรับ จุ๊กกรู” ชแปรโรว์ ผู้กองนกเขาชวา ก็บินหนีพายุมายังทิศทางเดียวกับเด็กหนุ่มด้วยเช่นกัน แต่พายุยังคงตามพวกเขามาอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกันภายในใจกลางพายุหมุน เกรากายืนรับการโจมตีจากอีกฝ่ายที่ระดมปาขนนกอันแหลมคมออกมาจากภายในลมหมุนจากทุกทิศทาง ขนนกบางเส้นยังหุ้มไว้ด้วยสายลมเพิ่มความรุนแรงในการโจมตีอีกด้วย เจ้าแมวดำอาศัยความสามารถเฉพาะปัดป้องการโจมตี และกระโดดหลบได้ บางครั้งขุนพลแมวโกนจาก็จะสร้างแท่นเหยียบสายลมให้ตนเองได้กระโดดขึ้นไปหลบการโจมตี บางครั้งก็ใช้เท้าเตะให้ขนนกที่โจมตีมาย้อนกลับเข้าไปโจมตีเจ้าของขนซึ่งอยู่ภายในพายุหมุนนั้น
“ว้าก! ว้าก! แย้ก! เสียงร้องของเด็กหนุ่มและนกอีกสองตัวดังขัดจังหวะการต่อสู้ของทั้งสองฝ่าย ตอนนี้ เหยื่อทั้งสามรายถูกพายุดึงตัวเข้ามาอยู่ในลมหมุนเรียบร้อยแล้ว ทั้งสามลอยเท้งเต้งอยู่ในวังวนอันน่าเวียนหัว จนทำให้เด็กหนุ่มอาเจียนออกมาอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่เลอะเสื้อผ้าของตนเอง เนื่องจาก
“ว้อย! อย่าอ้วกใส่หน้าข้าสิขอรับ จุ๊กกรู” ผู้กองนกเขาชวาโวยวาย

            “ย้าก! ฉัวะ! ฉัวะ!” เป็นการโจมตีที่ทำให้ขุนพลแมวดำได้รอยแผลบนใบหน้าจากจงอยปากอันคมกริบของขุนพลวิหค ในขณะที่ตนเองก็ฝากรอยเล็บแมวไว้ที่ปีกขวาของฝ่ายตรงข้ามได้เช่นกัน

แคทเทิน : บทนำ






แคทเทิน

ภาค

อวสานแห่งมหาสงคราม




บทนำ : พลังแห่งคริสตัล

ท่านผู้อ่านทั้งหลาย ท่านเคยคิดบ้างไหมว่า คนเพียงคนเดียวจะทำให้เกิดสงครามได้หรือไม่ ?

แล้ว คนเพียงคนเดียวจะหยุดยั้งสงครามได้หรือเปล่า ?


แล้วท่านคิดว่าคนที่มาจากชนชาติเล็ก ๆ อย่าง ไทย ศรีลังกา จะมีบทบาทในการหยุดยั้งสงครามที่เหล่าชาติมหาอำนาจทั้งหลายก่อขึ้นได้หรือไม่ ?


เราลองมาติดตามเรื่องราวของคนไทยและคนศรีลังกาที่ได้ออกผจญภัยไปในห้วงอวกาศอันไกลโพ้นเพื่อหยุดยั้งสงครามระหว่างมหาอำนาจทั้งสี่แห่งจักรวาลกันเถอะ


แล้วท่านจะได้คำตอบว่า คนกลุ่มเล็ก ๆ นี้แหละที่เป็นจุดเริ่มต้นสู่การสร้างสันติภาพ



*****

ในสถานที่อันเวิ้งว้างห่างไกลจากผู้คน ยังมีถ้ำแห่งหนึ่งซึ่งผู้ที่ได้มาเยือนจักต้องตะลึงในความงดงามของมัน  ภายในถ้ำแห่งนั้นมีอัญมณีที่มีค่าอยู่มากมายหลายชนิด แต่สิ่งที่ทำให้ถ้ำนั้นสวยงามคือ คริสตัลซึ่งส่องแสงระยิบระยับดุจหมู่ดาราบนท้องนภายามค่ำคืน ทั้งคริสตัลในถ้ำนั้นเล่าก็ไม่ได้มีแค่สีเดียว แต่มีอยู่หลายสีหลายชนิด บางชนิดก็มีสีเหลืองอำพัน บางชนิดนั้นให้สีฟ้าเทอร์ควอยซ์ บางชนิดก็ส่องแสงสีเขียวมรกต เหล่านี้เป็นต้น

แม้จะอยู่ห่างไกลจากผู้คนก็จริง แต่ที่ลานกว้างใจกลางถ้ำแห่งนี้ก็ปรากฏว่ามีอนงค์นางหนึ่งซึ่งมีร่างสูงระหงกำลังร่ายรำอยู่เบื้องหน้าเหล่าคริสตัลหลากสี ข้างกายของหล่อนนั้น มีโต๊ะซึ่งมีเครื่องเซ่นสรวงบูชา ประกอบไปด้วยอาหารนานา ทั้งมังสะ มัจฉา แลผลหมากรากไม้ มีกำยาน เครื่องหอม และเชิงเทียนที่จุดไฟแล้ววางอยู่  ในขณะที่กำลังร่ายรำนั้น เธอก็เอ่ยคำร้องขอขึ้นเป็นระยะ ๆ ว่า
"ข้าแต่เหล่าเทวา ซึ่งทรงฤทธา ข้าขอบูชาท่านด้วยลีลาการเต้นรำขอท่านโปรดนำความสุขมาให้ ทั้งแก่ผู้ใหญ่และต่อผู้เยาว์ ทั้งต่อหญิงสาว แลชายฉกรรจ์ โอท่านเทวาซึ่งรักษาถ้ำนี้ ได้โปรดช่วยที ให้ข้านี้มีพลัง ..."

หลังจากที่ร่ายรำและร้องขอไปได้ราวสี่สิบห้านาที ก็มีเสียงตอบรับกลับมาว่า
"เราได้ยินท่านแล้ว ท่านต้องการสิ่งใดฤาท่านผู้สูงศักดิ์"

หญิงสาวหยุดร่ายรำแล้วตอบไปว่า "ข้าต้องการพลังจากเหล่าคริสตัลในถ้ำแห่งนี้"

"ท่านจะนำพลังที่ได้ไปใช้เพื่อการใดฤา?"

"ข้าจะนำไปใช้เพื่อค้นหาบุคคลที่เหมาะสม"

"อีกแล้วหรือ นี่เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วที่ท่านเพียรตามหาคนเหล่านั้น"

“ข้าจำเป็นต้องตามหาคนเหล่านั้น เพื่อขอให้พวกเขาได้ช่วยหยุดยั้งสงครามนี้เสียที”

“แล้วท่านคิดว่าจะเจอคนเหล่านั้นหรือ แล้วถ้าเจอแล้วคิดว่าคนเหล่านั้นจะยอมช่วยตามที่ท่านร้องขอหรือ?

“เรื่องนั้นข้าไม่รู้หรอก แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย ข้าไม่อยากอยู่เฉย ๆ แล้วปล่อยให้ผู้คนต้องล้มตายลงโดยเปล่าประโยชน์”

...

“ขอให้ท่านได้โปรดพิจารณาด้วยเถิด ท่านเทพผู้รักษาถ้ำ”
 หลังจากเงียบไปซักสามนาที เทพผู้รักษาถ้ำก็ตอบกลับมาว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ ข้าจะมอบพลังให้แก่ท่านเอง องค์เอมเปรส”

สิ้นเสียงขององค์เทพผู้รักษาถ้ำ แสงจากคริสตัลทั้งหลายก็ยิ่งเปล่งประกายระยิบระยับ สายพลังสองสาย หนึ่งสีเหลืองอำพัน หนึ่งสีฟ้าเทอร์ควอยซ์ก็หมุนวนออกจากถ้ำพุ่งเข้าสู่ดวงตาทั้งสองข้างของเอมเปรสทันที เมื่อแสงจางหายไป นัยน์ตาสีเขียวขององค์เอมเปรสก็เปลี่ยนไปกลายเป็นตาสีฟ้าข้างหนึ่ง และตาสีเหลืองอำพันอีกข้างหนึ่ง องค์เอมเปรสเพ่งมองไปข้างหน้า สิ่งที่พระองค์เห็นก็ไม่ใช่ผนังถ้ำที่เต็มไปด้วยคริสตัลอีกต่อไป แต่กลายเป็นดาวเคราะห์สีฟ้าสดใสดวงหนึ่งในห้วงจักรวาล เมื่อทรงเพ่งมองไปอีกครั้งดาวเคราะห์ดวงนั้นก็ลอยเข้ามาใกล้พระองค์ทุกขณะ แล้วดินแดนแห่งหนึ่งในดาวดวงนั้นซึ่งมีรูปเป็นขวานทองก็เปล่งแสงขึ้น เมื่อเพ่งมองเข้าไปอีกครั้ง ครานี้พระองค์ก็ได้พบกับชายคนหนึ่งซึ่งกำลังนั่งดูภาพยนตร์อยู่ ก่อนที่ภาพจะตัดไปยังสถานที่อีกแห่งหนึ่งซึ่งมีนักศึกษากลุ่มหนึ่งกำลังนั่งจดเล็กเชอร์อยู่อย่างขะมักเขม้น ถึงตอนนี้พระองค์ก็เจอคนที่ต้องการแล้ว

“เซริน”

“ฝ่าบาทมีอะไรให้หม่อมฉันรับใช้เพคะ”

“ข้ามีภารกิจให้เจ้าทำ”

“เพคะ”


โป้งไอ้หยา

โป้งไอ้หยา!

ก็แค่เกมนับเลขธรรมดานี่แหละ แต่ไม่รู้ทำไมหลายครั้งที่เล่นเกมนี้แล้ว กลับนับเลขได้ไม่เคยเกินสามสิบ อันที่จริงไม่ถึงยี่สิบก็มีบ่อยครั้ง


       อาจจะเป็นเพราะเวลาที่เล่นเกมนี้แล้ว พวกรุ่นพี่ที่ชำนาญจะชอบแกล้งรุ่นน้องที่เข้ามาเล่นเกมนี้ใหม่ ๆ โดยหันไปนับเลขเสียงดังใส่ เท่านี้รุ่นน้องโดยเฉพาะรุ่นน้องผู้หญิงก็ขวัญหนีดีฝ่อพูดคำว่า “สาม” ออกมาแล้วทุกคนก็จะหัวเราะเฮฮา “วะ ฮ่า! ฮ่า!”


นับสามผิดตรงไหน ก็แค่ผิดกติกาของเกมเท่านั้นเอง เพราะกติกาของเกมก็คือ จะต้องพูดว่า โป้ง!


ก็เกมนี้ชื่อว่าเกม “โป้งไอ้หยา!” นี่นา วิธีการเล่นเกมนี้ก็ไม่มีอะไรซับซ้อน ผู้ที่ล้อมวงเล่นจะเริ่มต้นนับตัวเลขไปเรื่อย ๆ โดยหันไปทางคนที่อยู่ถัดจากตัวเอง


“หนึ่ง” คนแรกเริ่มนับ

“สอง” คนที่สองก็นับต่อ

              แต่พอถึงเลขที่ลงท้ายด้วยตัวเลขสาม เช่น ๓ , ๑๓ , ๒๓ , ๓๓ , ๔๓ , ๕๓ ...หรือตัวเลขที่หารด้วยสามลงตัวอย่าง ๖ , ๙ , ๑๒ , ๑๕ , ๑๘ , ๒๑ , ๒๔ , ๒๗ , ๓๐ , ๓๖....คนนั้นก็จะต้องใช้นิ้วโป้งหรือนิ้วชี้ชี้ไปที่ตัวเองหรือผู้เล่นคนอื่น แล้วพูดว่า “โป้ง!” คนที่ถูกโป้งนั้นให้อยู่เฉย ๆ รอจนกว่าผู้เล่นอีกสองคนที่อยู่ทางด้านซ้ายมือและขวามือของตัวเองจะยกมือทั้งสองข้างขึ้นแล้วร้องว่า “ไอ้หยา!” คนที่ถูกโป้งก็หันไปนับตัวเลขถัดไป


            ดังนั้น เกมนี้จึงเล่นแบบนี้ คนแรกนับ “หนึ่ง” คนที่สองนับ “สอง” คนที่สาม “โป้ง!” (ตัวเองหรือคนอื่น) คนรอบข้างคนที่ถูกโป้งยกมือทั้งสองข้าง “ไอ้หยา!” คนที่ถูกโป้ง “สี่” คนถัดไป “ห้า” และคนถัดไป “โป้ง!” ..ไอ้หยา! แบบนี้ไปเรื่อย ๆ


            เกมก็ง่าย ๆ แบบนี้แหละ


           แต่เกมง่าย ๆ แบบนี้หลายคนก็พลาดมาหลายครั้ง ทุกครั้งที่พลาดก็จะเพิ่มลายขีดจากปากกาลูกลื่นไปที่แขนของตัวเองเสมอ

ไม่อยากให้แขนมีลวดลายก็ต้องไม่พลาด


แล้วพลาดมีอย่างไรบ้างล่ะ พูดผิดอย่างที่ยกตัวอย่างข้างบนก็หนึ่งล่ะ นับเลขผิดก็หนึ่งล่ะ อะไรอีกนะ

อ้อ! ประเภทลืมว่าต้องว่านับเลขอะไรต่อก็เหมือนกัน นอกจากนั้นแล้ว


หนึ่ง สอง โป้ง ไอ้หยา!!!


“โดน โดน” เพื่อนทางด้านซ้ายมือของฉันพลาดซะแล้ว ถ้าเขาโป้งคนอื่นแล้วอยู่เฉย ๆ ก็ไม่มีปัญหา
หรอก ดันเผลอร้องไอ้หยาแล้วยังยกแขนทั้งสองข้างขึ้นอีก ก็โดนขีดซะนะ แล้วเกมก็เริ่มใหม่


“หนึ่ง” รุ่นน้องผู้หญิงที่อยู่ถัดจากเพื่อนผู้เล่นพลาดของฉันนับ แล้วเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นอีกครั้ง เธอไม่ได้นับผิดหรอก เพียงแต่ว่าคนที่พลาดจะต้องเป็นผู้เริ่มนับเลขใหม่ต่างหาก เพื่อนของฉันหลอกให้รุ่นน้องคนนั้นเริ่มนับใหม่ แขนเธอเลยมีรอยน้ำหมึกสีน้ำเงินเข้มเพิ่มมาอีก หัดเล่นใหม่ ๆ ก็อย่างนี้แหละ พอชำนาญก็จะไม่หลงกลอีกต่อไป


สิบ สิบเอ็ด โป้ง ไอ้หยา! โป้ง ไอ้หยา! โป้ง ไอ้หยา!!!

เพื่อนชายของฉันอีกคนหนึ่งรู้ตัวว่านับพลาดก็ไอ้หยาไปเสียเลย เอ้า! ขีด

สิบ สิบเอ็ด โป้ง ไอ้หยา! โป้ง ไอ้หยา! สิบสี่ สิบห้า

แม้แต่รุ่นพี่ที่ชำนาญแล้วก็ยังนับพลาดได้เหมือนกัน

สิบ สิบเอ็ด โป้ง ไอ้หยา! โป้ง ไอ้หยา! สิบสี่ โป้ง ไอ้หยา! สิบหก สิบเจ็ด สิบแปด

        ฉันถึงได้บอกไว้ตั้งแต่ตอนต้นว่าหลายครั้งที่เล่นเกมนี้แล้วนับเลขได้ไม่ถึงยี่สิบไง ยิ่งเล่นจังหวะเร็ว ตะเบ็งเสียงดัง มีผู้เล่นใหม่ ๆ ยิ่งไม่ค่อยเกินสิบห้าด้วยซ้ำ

       ขอเล่นเบา ๆ ไม่ได้เหรอ ได้สิ เกมโป้งไอ้หยาก็มีแบบเงียบเหมือนกัน เวลานับเลขก็ใช้ยกนิ้วมือนับ หรือกำมือ แต่ฉันเล่นโป้งไอ้หยาเงียบไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่หรอก มันมักจะจำไม่ค่อยได้ เลยพลาดบ่อย และโดยความเห็นส่วนตัว ออกเสียงดังสนุกกว่ากันเยอะเลย เพราะฉะนั้น เล่นโป้งไอ้หยาแบบปกตินี่แหละดีที่สุด


หนึ่งงงงง สองงงง โป้ง  ไอ้หยา! สี่ ห้า หกก


ถึงจะนับช้าก็ไม่ได้ช่วยให้แม่นขึ้นเลยนะ ฉันยิ้มแป้น ในขณะที่คนที่นับเลขหกโดนขีดแล้วก็เริ่มนับหนึ่งใหม่

สิบ สิบเอ็ด โป้ง! ไอ้หยา! โป้ง ไอ้หยา! หา! ฮา!

         รุ่นน้องคนหนึ่งที่หวังจะให้รุ่นพี่พลาดจึงโป้งไปยังรุ่นพี่ แต่รุ่นพี่โป้งกลับมา ทำให้รุ่นน้องคนนั้นพลาดเสียเอง คราวหลังต้องโป้งตอนที่เลขตัวถัดไปไม่ได้ลงท้ายด้วย ๓ หรือหารด้วย ๓ ลงตัว


ยี่สิบเก้า สามสิบ ฮา!

ไม่ค่อยได้ถึงเลขตัวนี้เท่าไรเลยพลาดได้ง่ายแบบนี้แหละ


              การเล่นยังคงดำเนินต่อไป มีคนพลาดหลายรอบจนแขนเป็นลายขีดพร้อยไปหมด คนอื่นก็โดนกันคนละสองขีดบ้าง สามขีดบ้าง สี่ขีดบ้าง มีแต่ฉันนี่แหละที่ไม่โดนขีดเลย เก่งไหมล่ะ


             อย่าเพิ่งหมั่นไส้ฉันสิ ตอนเล่นแรก ๆ ฉันก็ไม่เก่งขนาดนั้นหรอก พลาดไปหลายรอบมากเลย ยิ่งตอนช่วงสิบ สิบเอ็ด จนถึงช่วงยี่สิบ นี่ทั้งนับพลาด ทั้งลืมนับ ทั้งโป้งเสร็จก็เผลอไอ้หยาตามอีก แขนฉันพร้อยทั้งสองข้างเลย ต้องฟอกสบู่ถึงจะออก ถึงจะเลอะแต่ฉันก็ชอบนะ ได้สนุกกับเพื่อน ๆ ได้หัวเราะ ได้สังสรรค์กับเพื่อนเรียกว่า เล่นเกมนี้ทีไร จิตใจเบิกบานทุกครั้ง


           บางคนอาจจะนึกสงสัยว่าเกมโป้งไอ้หยาที่เคยเห็นที่อื่นเล่น แตกต่างจากที่ฉันอธิบายมา แต่นี่คือ เกมโป้งไอ้หยาที่สมาชิกกลุ่มศึกษากฎหมายภาคปฏิบัติ (กศป.) แห่งคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เล่นกันนี่นา จะแตกต่างจากที่อื่นก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ฉันหวังว่ารุ่นน้องจะสืบสานการเล่นนี้ต่อไปนะ

             ได้กลับมาเล่นทีไรก็คิดถึงความทรงจำครั้งอยู่ระดับ ป.ตรี ได้ร่วมงานกับ กศป. ไปเข้าข่ายด้วยกัน ไปพัฒนาชนบทด้วยกัน ไปเที่ยวด้วยกัน ไปทำกิจกรรมร่วมกัน ไปงานรับปริญญาร่วมกัน และได้เล่นโป้งไอ้หยาด้วยกันทุกครั้งที่โอกาสเอื้ออำนวย

นี่รอบสุดท้ายแล้ว หลังจากนี้ฉันจะเข้านอนละ

“หนึ่ง”  “สอง” เพื่อนหันหน้ามาทางฉัน ฉันตอบรับด้วยการยกนิ้วโป้งชี้มาที่ตัวเองแล้วร้องว่า

สาม

^_^