วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ว่าด้วยเรื่องวันสิ้นโลก

    และแล้ววันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๐๑๒ ก็ผ่านพ้นไปโดยไม่มีเหตุร้ายอันใดเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ คนที่กังวลหรือเชื่อในเรื่องวันที่โลกจะแตกหรือวันสิ้นโลกก็คงคลายความกังวลลงไปได้มาก ส่วนคนที่ไม่เชื่ออย่างผมก็คงไม่ได้วิตกกังวลมากแต่อย่างใด คงใช้ชีวิตไปอย่างสบาย ๆ แม้ว่างานจะเยอะก็ตาม
 
  เรื่องวันสิ้นโลกนี้ก็มีพูดกันมานานมากแล้ว อย่างน้อยในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐก็ลงข่าวเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้นปีแล้ว และหนังสือที่กล่าวถึงเรื่องนี้บ่อยที่ผมอ่านอยู่ก็คือ นิตยสารต่วย ตูน พิเศษ นั่นเอง
 
ว่าถึงเรื่องวันสิ้นโลกแล้วก็มีข้อน่าคิดอยู่หลายประเด็นที่ผมอยากกล่าวถึงนะครับ
 
ประเด็นแรก การสิ้นโลกหากเกิดขึ้นจริงแล้วล่ะก็ ก็จักต้องเป็นภัยพิบัติที่รุนแรงมากเลยทีเดียวที่สามารถทำให้โลกซึ่งเป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่งในระบบสุริยจักรวาลต้องถึงคราวแตกดับลงไป ทั้งนี้ เพราะภัยพิบัติจำนวนมากที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้เท่าที่มีการบันทึกกันมานั้น มีอยู่หลายกรณีที่มีความรุนแรง คร่าชีวิตผู้คนไปเป็นจำนวนนับหมื่นนับแสนหรือนับล้านคน ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติจากธรรมชาติอย่างภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหว สึนามิ พายุ น้ำท่วมใหญ่  หรือภัยพิบัติที่เกิดจากฝีมือของมนุษย์อย่างภัยก่อการร้าย ภัยสงคราม เป็นต้น แต่ภัยพิบัติเหล่านั้นก็ยังไม่สามารถทำให้โลกถึงคราวพินาศย่อยยับลงไปได้ (แต่ก็ทำให้สภาพแวดล้อมของโลกย่ำแย่ลงไปมาก) และมนุษย์ชาติเองก็หาทางเอาตัวรอดจากภัยพิบัติเหล่านั้นมาได้ 
 
แต่ถัาเป็นกรณีการสิ้นโลกแล้วล่ะก็ทั้งคนและสิ่งมีชีวิตทุกประเภทไม่มีทางรอดหรอกครับ เนื่องจากไม่มีดาวที่มีสภาพแวดล้อมเหมาะสมกับสิ่งมีชีวิตสำหรับอยู่อาศัยอีกต่อไป
 
 
ประเด็นที่สอง การที่คนซึ่งเชื่อเรื่องวันสิ้นโลกเกิดอาการตื่นกลัวนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกครับ เพราะทุกคนบนโลกก็ล้วนแต่กลัวการบาดเจ็บล้มตายกันทั้งนั้น แต่หากมัวแต่หวาดกลัวหรือวิตกกังวลกันมากเกินไปจนไม่ทำอะไรเลย หรือมัวแต่อ้อนวอนร้องขอต่อภูติผีและทวยเทพให้ช่วยเหลือ ก็ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นแต่อย่างใด ควรที่จะเตรียมตัวรับมือให้พร้อมสำหรับภัยพิบัติต่าง ๆ มากกว่า เนื่องจากมนุษย์เราเป็นสิ่งมีชีวิตพวกหนึ่งที่ไม่ยอมตายง่าย ๆ ดังนั้น ในภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับภัยพิบัติหลายเรื่อง รวมทั้งเรื่อง 2012 นั้น  ตัวละครในเรื่องจึงหาทางดิ้นรนต่อสู้เพื่อให้รอดพ้นจากภัยพิบัติ และในที่สุดก็สามารถรอดชีวิตมาได้ด้วย
ในทางตรงกันข้ามยังมีตัวละครในเรื่องที่ยอมรับความตายอย่างสงบโดยไม่คร่ำครวญแต่อย่างใดเลย
 
ฉะนั้น หากเกิดเหตุภัยพิบัติที่รุนแรงขึ้นจริงแล้วก็เราก็ควรเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ว่าจะเอาอย่าง
ตัวเอกของเรื่องที่ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาหรือไม่ก็ตัวละครที่ยอมรับชะตากรรมความตายอย่างสงบ มากกว่าที่จะมาร้องไห้คร่ำครวญนะครับ
 
ประเด็นที่สาม เป็นเรื่องเกี่ยวกับคำทำนายและชนเผ่าที่เป็นผู้ทำนายเหตุการณ์  ในประเด็นนี้นั้น ผมพบว่าการที่มีคำทำนายเรื่องของวันสิ้นโลกออกมาดังกล่าวเป็นเพียงเรื่องของการตีความปฏิทินและจารึกของชาวมายาเท่านั้น ซึ่งการตีความดังกล่าวอาจจะถูกหรือผิดก็ได้ (ซึ่งก็ปรากฏออกมาแล้วว่าไม่ถูกต้อง) ผู้ที่ทำปฏิทินหรือจารึกนั้นจะได้กล่าวถึงอวสานแห่งโลกหรือไม่นั้นเราไม่อาจทราบได้เลย เมื่อเรายังไม่ทราบแน่ชัดว่าผู้ทำปฏิทินหรือจารึกได้กล่าวคำทำนายอันใดไว้หรือไม่ เราจะไปตื่นกลัวทำไมกับเรื่องวันสิ้นโลกครับ นี่เป็นข้อคิดแรก
 
อีกข้อคิดหนึ่งก็คือ ชาวมายาผู้ทำปฏิทินหรือจารึกเองนั้น นอกจากจะเป็นชนชาติที่มีความรู้ความสามารถแล้ว ยังน่ายกย่องตรงที่พวกเขายังสามารถดำรงเผ่าพันธุ์และรักษาวัฒนธรรมของตนอยู่ได้ถึงทุกวันนี้ แม้ว่าจะถูกรุกรานและทำลายล้างจากชนชาติสเปนที่เข้ามาล่าอาณานิคม (สามารถอ่านเรื่องเกี่ยวกับชาวมายา และอารยธรรมมายาได้ในเว็บไซต์ wikipedia ภาษาต่าง ๆ) แล้วพวกเราล่ะหากประสบชะตากรรมเดียวกับชนชาวมายาแล้วจะสามารถดำรงเผ่าพันธุ์และรักษาวัฒนธรรมประเพณีของพวกเราไว้ได้หรือไม่
 
ประเด็นสุดท้าย เป็นเรื่องข้อคิดเห็นที่น่าสนใจจากนักวิทยาศาสตร์ชาวจีน กล่าวคือผมได้มีโอกาสดูสารคดีชุด SCIENTISTS DISCUSSING THE MYSTERIOUS MAYAN CULTURE จากเว็บไซต์สถานีโทรทัศน์ CCTV ซึ่งเป็นสารคดีของจีนจำนวน ๔ ตอน ที่มีนักวิทยาศาสตร์ชาวจีน ๔ คน มาวิเคราะห์ถึงเรื่องคำทำนายของชาวเผ่ามายา และเรื่องปรากฏการณ์ที่จะทำให้โลกถึงกาลอวสาน กล่าวโดยสรุป นักวิทยาศาสตร์ทั้ง ๔ คน ไม่เชื่อว่าจะเกิดปรากฏการณ์ที่จะทำให้โลกสิ้นสุดหรือมนุษยชาติสูญพันธุ์ไปได้ แต่นอกเหนือจากการแสดงความคิดเห็นเรื่องดังกล่าวแล้ว ทั้งสี่คนยังได้แสดงทัศนะที่เกี่ยวกับเรื่องการนำองค์ความรู้ทางด้านธรณีวิทยาและเรื่องดาราศาสตร์มาใช้เพื่อสร้างประโยชน์ให้แก่สังคมและประดิษฐ์สิ่งใหม่ ๆ ดังเช่น ZHU JIN ได้แสดงทัศนะในเรื่องระบบการศึกษาได้อย่างน่าสนใจอย่างยิ่ง เขาได้แสดงทัศนะไว้ตอนหนึ่งว่า พวกเราไม่จำเป็นต้องสอนเด็กทุกเรื่อง ยิ่งสอนมากเด็กจะมีความอยากรู้อยากเห็นน้อยลง เนื่องจากไม่มีเวลาสำหรับสิ่งอื่น ๆ ผมยอมรับว่าดูนักวิทยาศาสตร์จีนแสดงทัศนะแล้วรู้สึกยกย่องนับถือชาวจีนเลยนะครับที่ผลิตสารคดีชุดนี้ออกมาครับ สื่อมวลชนไทยน่าจะเลียนแบบบ้างนะครับ


            อาจสรุปได้ว่าความเชื่อเรื่องวันสิ้นโลกนั้นเป็นความเชื่อที่เกิดจากการตีความอย่างผิด ๆ และความไม่รู้ถึงข้อเท็จจริง ประกอบกับมีการปล่อยข่าวออกมา ทำให้เกิดเป็นกระแสดังกล่าวขึ้น ทั้งนี้จากสภาพแวดล้อมในปัจจุบันคงไม่ทำให้โลกถึงคราวสิ้นสุดลงไปได้ แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าโลกจะไม่ถึงคราวอวสาน แต่ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงและบ่อยครั้งทั่วทั้งโลกในเวลานี้ ก็เป็นสัญญาณอันตรายที่บ่งบอกว่าธรรมชาติได้เสียสมดุลจนยากที่จะทำให้กลับคืนสู่สภาพเดิมได้แล้ว นอกจากนี้
การทำสงครามและการก่อการร้ายยังทำลายทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และความสัมพันธ์อันดีงามระหว่างคนในโลกลงไป ซึ่งหากปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปมนุษยชาติก็จะสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ไปโดยไม่ต้องรอให้ถึงวันสิ้นโลกแต่อย่างใด ฝากไว้ให้คิดครับ
 
 
 
  
 
 
 
 

วันพุธที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

พุทธชยันตี ๓ เราจะรักษาและสืบสานพระพุทธศาสนาได้อย่างไร

        หลังจากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว พระสงฆ์และพุทธบริษัทได้ร่วมกันสืบทอดพระพุทธศาสนา และได้มีการเผยแผ่พระศาสนาไปในดินแดนต่าง ๆ โดยหนึ่งในดินแดนที่ว่านั้นก็คือ ประเทศไทย นั่นเอง

        ชาวไทยได้ยอมรับนับถือและปฏิบัติตามหลักธรรมคำสั่งสอนทางพระพุทธศาสนามาหลายรุ่น
ก่อให้เกิดเป็นประเพณีที่ดีงามและมีคุณค่ามากมาย พระพุทธศาสนาได้หยั่งรากลึกลงในวิถีชีวิตของ
คนไทยตั้งแต่เกิดจนถึงตาย มรดกทางพระพุทธศาสนามีให้เห็นได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นวัดวาอาราม
พระพุทธรูป ภาษาและวรรณกรรม คำสั่งสอน ประเพณี เทศกาล ฯลฯ





        อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน ด้วยสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปจากสังคมในอดีตอย่างรวดเร็ว ได้ทำให้วิถีชีวิตของผู้คนในสังคมไทยเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่ดีนัก ดังจะเห็นได้จากข่าวตามสื่อสารมวลชนต่าง ๆ ที่เสนอเรื่องของการฆ่ากันตายและการก่ออาชญากรรมเป็นรายวัน ข่าวการทุจริตและประพฤติ
มิชอบในแวดวงของข้าราชการ นักการเมือง (ทั้งระดับประเทศและระดับท้องถิ่น) และแวดวงธุรกิจ
ความประพฤติที่เสื่อมเสียของวัยรุ่นและดารา รวมถึงความขัดแย้งทางการเมือง สภาพสังคมที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบและเห็นแก่ตัว การใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหา การติดการพนัน การค้าและเสพยาเสพติด การไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย

       นอกจากนี้ วิถีชีวิตของคนในสังคมไทยในปัจจุบันก็เหินห่างจากพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก
นอกจากวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาแล้ว  เราไม่ค่อยจะได้เห็นคนไทยเข้าวัด ตักบาตร ฟังธรรม หรือนำหลักธรรมมาใช้ในชีวิตประจำวันเลย คนไทยยุคปัจจุบันชอบการละเล่น ชอบดื่มเหล้า เล่นการพนัน มีกิริยาก้าวร้าวรุนแรง ไม่รักนวลสงวนตัว พูดคำหยาบ ไม่เคารพผู้ใหญ่ ไม่สนใจในการเรียนวิชาพระพุทธศาสนา ในส่วนของพระสงฆ์เองก็พบว่ามีปัญหาพระภิกษุต้องอาบัติหนัก ฯลฯ เป็นต้น นอกจากนี้
นักวิชาการรุ่นใหม่ก็มีทัศนคติไม่ให้ความสำคัญและยังมองพระพุทธศาสนาในเชิงลบอีกด้วย จึงเป็นที่น่าวิตกเป็นอย่างยิ่งว่าเราจะรักษาพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืนอยู่ในสังคมไทยได้อย่างไร

      นอกจากข้อเสนอเรื่องการบัญญัติให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ให้วัดพระ (วันธรรมสวนะเป็นวันหยุดราชการ) การบัญญัติกฎหมายเพื่อการปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนา และการเคลื่อนไหวขององค์กรชาวพุทธ (องค์กร Knowing Buddha) ที่รณรงค์คัดค้านการกระทำที่เป็นการหมิ่นพระพุทธรูปแล้ว ผู้เขียนคิดว่าเราควรจะทำให้สร้างสภาพสังคมที่เอื้ออำนวยต่อการสืบทอดพระพุทธศาสนาและสร้างสังคมที่สงบสุข แล้วจะทำอย่างไรล่ะ?

    เราควรเริ่มจากการทำโดยให้ผู้คนในสังคมไทยได้ซึมซับหลักธรรมและศาสนพิธีในชีวิตประจำวัน 
เริ่มจากสื่อมวลชนและบริษัทที่ทำรายการบันเทิงต่าง ๆ ควรผลิตรายการโทรทัศน์ เพลง การ์ตูนที่มีส่วนในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาและสนับสนุนการนำหลักธรรมในทางพระพุทธศาสนามาใช้ในชีวิตประจำวันออกมา ถ่ายทอดสดการสวดมนต์ทำวัตรเช้าของพระสงฆ์ผ่านทางสถานีวิทยุและโทรทัศน์แทน
การนำเสนอข่าวอาชญากรรม ข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ควรนำเสนอข่าวเกี่ยวกับพระสงฆ์และ
พุทธบริษัทที่กระทำความดี หรือนำเสนอเรื่องของบุคคลที่ทำประโยชน์ต่อสังคมมากกว่าลงข่าว
ความขัดแย้งของบุคคลต่าง ๆ ในสังคม หรือเสนอข่าวความประพฤติที่ไม่สมควรของบุคคลต่าง ๆ

      ตามสถานที่ต่าง ๆ เช่น ที่นั่งรอรถประจำทาง บนรถโดยสารประจำทาง ในโรงเรียน ในโรงงาน สถานีรถไฟ ควรจะมีพุทธศาสนสุภาษิตปรากฏอยู่ในบริเวณที่สมควร ในเวลาที่ผู้คนเลิกงาน ตอนเย็น รวมถึงตอนค่ำก็ควรเผยแพร่รายการธรรมะผ่านทางสถานีวิทยุ และโทรทัศน์ช่องต่าง ๆ แทนละครที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ ซึ่งจะเป็นการช่วยให้คนที่ผ่านความเครียดจากการทำงานมาได้ผ่อนคลายอารมณ์ด้วย

     เจ้าของสถานที่ประกอบการทั้งภาคส่วนราชการและภาคส่วนเอกชนควรจะสนับสนุนให้มีการทำบุญกับพระสงฆ์เป็นประจำ เช่น นิมนต์พระสงฆ์มาฉันเพล มาเจริญพระพุทธมนต์ มาแสดงธรรม ในโอกาสต่าง ๆ หรือทุกวันพระ (ในกรณีที่วันพระไม่ได้เป็นหยุดราชการ) สนับสนุนให้บุคลากรในหน่วยงานของตน
สวดมนต์ไหว้พระเป็นประจำ เป็นต้น


      ครูอาจารย์ควรสอดแทรกศีลธรรมในระหว่างการเรียนการสอนในคาบเรียนต่าง ๆ และควรจะต้องมีการบ้านวิชาพระพุทธศาสนาเป็นประจำ นักเรียนจะได้กระตือรือร้นในการแสวงหาความรู้ในการศึกษาหลักพุทธธรรม


     หน่วยงานและเจ้าหน้าที่ภาครัฐก็สำคัญมาก เช่น การสนับสนุนให้มีการบวช (ที่ไม่ใช่การบวชหน้าไฟ หรือบวชตามประเพณี) การสนับสนุนการสร้างวัดวาอารามให้อยู่ใกล้สถานที่ชุมชน เพื่อให้คนในชุมชนนั้นสามารถทำบุญและไปวัดได้ง่าย  การจัดระบบผังเมืองและการบังคับใช้กฎหมายผังเมือง อย่าให้มี
การตั้งสถานบันเทิงอยู่ใกล้วัดและสถานศึกษา อย่าให้มีการรุกที่วัด หรืออย่าให้มีการหาประโยชน์จากที่ดินของวัด การดูแลรักษาความสะอาดในบริเวณวัดและภายนอกวัดเป็นประจำ

     ในส่วนของพระภิกษุสงฆ์ก็ควรจะเป็นผู้ชี้นำคนในสังคมให้ไปในทางเจริญ โดยการเผยแผ่พุทธธรรมให้กว้างไกลออกไป ประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี หมั่นศึกษาพระธรรม รักษาพระวินัยอย่างเคร่งครัด อบรมสั่งสอนศีลธรรมเป็นประจำ คอยชี้แนะเมื่อเกิดปัญหาขึ้นในสังคม ทำประโยชน์โดยไม่เน้น
ผลตอบแทน ไม่เรี่ยไรมากจนเกินไป ไม่สอนธรรมที่ผิด เกื้อกูลต่อสังคมไทย (และถ้าเป็นไปได้ สังคมโลก)


     พุทธบริษัทก็จะต้องร่วมมือร่วมใจกันส่งเสริม สนับสนุน และปกป้องพระพุทธศาสนา ด้วยการปฏิบัติกิจของชาวพุทธ เช่น การบำรุงเลี้ยงดูพระสงฆ์ด้วยการหมั่นตักบาตร ถวายภัตตาหาร เข้าวัดและพา
ญาติพี่น้องบุตรหลาน เชิญชวนบุคคลอื่นให้เข้าวัดฟังธรรม หมั่นสวดมนต์ไหว้พระ แนะนำสั่งสอนศีลธรรมให้แก่บุตรหลานของตน และประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีให้คนอื่นเห็น นำหลักธรรมในพระพุทธศาสนามาใช้ในชีวิตประจำวัน รักษามารยาททางสังคม เคารพกฎหมายและระเบียบวินัย หมั่นรักษาศีลห้า
สนับสนุนการบวช เข้าร่วมพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาอย่างสม่ำเสมอ ไม่แสวงหาประโยชน์ในทาง
พุทธพาณิชย์ ธรรมพาณิชย์ หรือสังฆพาณิชย์ โดยเด็ดขาด และจะต้องไม่นำสัญลักษณ์ทาง
พระพุทธศาสนาไปใช้ในทางที่ผิดไปจากวัตถุประสงค์หรือผิดไปจากศีลธรรม จะต้องไม่ตีความหรือ
แอบอ้างหลักธรรมในทางที่ผิด
จะต้องคอยว่ากล่าวตักเตือนบุคคลที่ประพฤติไม่เหมาะสมต่อพระพุทธศาสนา
คัดค้านการกระทำที่ไม่ถูกต้องต่อพระพุทธศาสนา

ฯลฯ



      

      ที่นำเสนอมานี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของข้าพเจ้าเพื่อการสืบสานพระพุทธศาสนาให้ดำรงอยู่ในสังคมไทยและสั่งคมโลกต่อไปเท่านั้น ยังมีประเด็นที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาอีกมากมายหลายเรื่องที่ถ้ามีโอกาสแล้วก็จะได้เขียน (พิมพ์) ให้ทราบต่อไป ตอนนี้เป็นตอนสุดท้ายของบทความเนื่องในโอกาสฉลองพุทธชยันตี ๒๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และ ๒๖๐๐ ปี แห่งการกำเนิดและเผยแผ่พระพุทธศาสนา ขอให้ชาวพุทธทุกท่านได้อานิสงค์จากบทความทั้งสามตอนนี้ แล้วพบกันใหม่ครับ


   

วันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2555

พุทธชยันตี (๒) : การสร้างสังคมแห่งสันติสุข

           หลังจากที่พระมหาบุรุษได้ตรัสรู้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ด้วยพระบริสุทธิคุณ
พระปัญญาคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ พระองค์ได้เผยแพร่พระธรรมคำสั่งสอนซึ่งส่งผลเป็นการปฏิวัติสังคมในสมัยนั้น แต่การปฏิวัติดังกล่าวไม่เหมือนกับการปฏิวัติสังคมในประวัติศาสตร์โลกส่วนใหญ่
เนื่องจากเป็นการปฏิวัติสังคมโดยสันติวิธี สร้างสังคมแห่งสันติสุขและความเสมอภาคขึ้นในโลก ทั้งนี้ การสร้างสังคมแห่งสันติสุขนั้นเกิดขึ้นจากปัจจัย ๒ ประการ คือ
๑) วิธีการเผยแผ่พระธรรม  และ
๒) หลักธรรมที่ทรงสั่งสอนแก่ชาวโลก

           ๑) วิธีการเผยแผ่พระธรรม  พระพุทธองค์ทรงเผยแผ่พระธรรมโดยใช้ปัญญาและเหตุผลเป็นหลักในการแสดงพระธรรมเทศนา และการตอบปัญหาข้อสงสัยของบุคคลอื่น ไม่ทรงใช้วิธีการข่มขู่ บังคับ หรือกล่าวให้ร้ายบุคคลอื่นหรือศาสนาอื่นแต่อย่างใด  และไม่ฉวยโอกาสในความเดือดร้อนของผู้อื่น เมื่อทรงแสดงกาลามสูตรแก่ชาวกาลามะ ก็ทรงให้หลักและข้อคิดแก่ชาวกาลามะ ให้นำไปพิจารณาตรึกตรองเอง บางครั้งทรงใช้กุศโลบายในการสั่งสอน เช่น ทรงขอให้หญิงที่สูญเสียบุตรของตนไปนำเมล็ดผักกาดมาจากบ้านที่ไม่มีคนตายมาเพื่อจะช่วยชุบชีวิตบุตร ครั้นเมื่อหญิงนั้น
ไม่สามารถหาเมล็ดผักกาดมาจากบ้านที่ไม่มีคนตายได้ จึงทรงสั่งสอนให้หญิงผู้นั้นเห็นถึงความจริงในชีวิต มีบางครั้งที่พระองค์ทรงแสดงฤทธิ์บ้างเพื่อกำราบบุคคลผู้มีความอหังการ แต่สุดท้ายแล้วพระองค์จะทรงสั่งสอนด้วยความเมตตา จนบุคคลนั้นกลับตัวกลับใจหันมานับถือพระพุทธศาสนา  เช่นในกรณีการสั่งสอนองคุลีมาล เป็นต้น พระสงฆ์สาวกของพระองค์ก็ทรงเผยแผ่หลักธรรมด้วยวิธีการนี้เช่นกัน
นอกจากนี้แล้ว พระพุทธเจ้าและพระสาวกยังให้เสรีภาพแก่บุคคลอื่นด้วยว่าจะหันมานับถือศาสนาพุทธหรือไม่ และเปิดโอกาสให้สามารถพิสูจน์ตรวจสอบพระองค์ พระธรรม และพระสงฆ์ได้ ดังนั้น การเผยแผ่พระพุทธศาสนาจึงเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ ยุติธรรม อย่างแท้จริง

           ๒) หลักธรรมที่ทรงสั่งสอน เป็นหลักธรรมที่สร้างความสงบให้แก่สังคม และสร้างความสงบให้แก่จิตใจของมนุษย์โดยอาศัยการควบคุมจิตใจและพฤติกรรมของบุคคลในสังคม กล่าวคือ พระพุทธองค์ทรงมองเห็นว่าสังคมจะเป็นอย่างไร ดำเนินไปทางไหน ย่อมขึ้นอยู่กับความประพฤติของผู้คนในสังคม ดังนั้น ในชั้นต้น จึงทรงสั่งสอนหลักธรรม หลักความประพฤติปฏิบัติสำหรับการอยู่ร่วมกันของบุคคลในสังคม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกฎแห่งกรรม เทวธรรม ศีล (ควบคุมการกระทำทางกายและวาจาไม่ให้ก่อความเดือดร้อนแก่ตนเองและผู้อื่น) ฆราวาสธรรม (ธรรมสำหรับการดำเนินชีวิตที่สงบสุข) สังคหวัตถุและพรหมวิหาร (หลักธรรมเพื่อให้บุคคลในสังคมเกื้อกูลซึ่งกันและกัน) ทศพิธราชธรรม (หลักธรรมเพื่อการบริหารจัดการปกครองบ้านเมืองให้สงบสุข) กุศลกรรมบถ (หลักธรรมสำหรับการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมโดยสันติ) สัปปุริสธรรม (ธรรมสำหรับบุคคลที่เป็นคนดี) ฯลฯ ซึ่งการปฏิบัติตามหลักธรรมเหล่านี้ เป็นการส่งเสริมให้บุคคลในสังคมไม่เบียดเบียนคนอื่น (และสิ่งมีชีวิตอื่น)  เป็นการส่งเสริมให้บุคคลไม่ละเมิดกฎเกณฑ์ในสังคม เป็นการส่งเสริมให้บุคคลรู้จักช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน และเป็นการส่งเสริมให้บุคคลมีพื้นฐานทางจิตใจที่ดีงาม
              
                ในชั้นสูง พระพุทธองค์ทรงสอนให้บุคคลรู้จักการฝึกจิตเป็นระดับไปตั้งแต่การหัดระงับความทะยานอยาก จนถึงการเพียรเพ่งดับความคิดปรุงแต่งเพื่อการบรรลุธรรม เป็นการสร้างความสงบให้เกิดขึ้นในจิตใจของบุคคล เมื่อบุคคลมีจิตใจที่สงบและดีงามแล้วก็จะลดละบาปกรรม และสร้างแต่บุญกุศล ยังประโยชน์ให้แก่คนทั้งหลาย

                 อนึ่ง หลักพุทธธรรมนั้นมีลักษณะเป็นระบบและเป็นองค์รวม ควบคุมการกระทำทั้งทางกาย ทางวาจา และทางจิตใจ ตัวอย่างเช่น เรื่อง ทาน นั้น เป็นทั้งหลักธรรมที่ส่งเสริมให้บุคคลรู้จักการเสียสละแบ่งปันสิ่งของให้แก่บุคคลอื่น (อามิสทาน - ลดละโลภะ) ส่งเสริมให้รู้จักการให้อภัย (อภัยทาน - ลดละโทสะ) และส่งเสริมการเผยแพร่หลักธรรมที่ถูกต้องเพื่อประโยชน์แก่คนอื่น (ธรรมทาน - ลดละโมหะ ) มงคลสูตร สอนเรื่องความประพฤติปฏิบัติของบุคคลทั้งต่อสังคมและต่อตนเองเป็นระดับชั้นขึ้นไป เป็นต้น

                ด้วยปัจจัยทั้งสองประการนี้ ส่งผลให้สังคมชาวพุทธเป็นสังคมที่มีความสงบสุข เป็นสังคมที่มีแต่ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เกื้อกูลซึ่งกันและกัน เป็นสังคมแห่งรอยยิ้ม ดังเช่นประเทศไทยในอดีตที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น "สยามเมืองยิ้ม" อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมจากสังคมเกษตรกรรมไปเป็นสังคมอุตสาหกรรมที่เน้นการผลิตและการบริโภค ทำให้สังคมในปัจจุบันเป็นสังคมที่มีแต่ความรีบเร่ง ไม่ใส่ผู้อื่น เห็นความสำคัญของวัตถุและเงินทองมากกว่าความสงบสุขทางจิตใจ ในสภาพสังคมเช่นนี้ บุคคลไม่ค่อยใส่ใจในการปฏิบัติตามหลักพุทธธรรมและจารีตประเพณีที่ดีงาม เราจะฟื้นฟูสภาพสังคมที่ดีงามในอดีตขึ้นมาได้อย่างไร เราจะรักษาพระพุทธศาสนาอย่างไร โปรดติดตามทัศนะของผู้เขียนได้ในตอนต่อไป
              
(๑) ขอขอบคุณข้อมูลในเรื่องของหลักพุทธธรรมต่าง ๆ จากเว็บไซต์  wikipedia ภาคภาษาไทย 

       http://th.wikipedia.org/wiki

วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

พุทธชยันตี (๑) : คติธรรมที่ได้จากพระมหาบุรุษ

    เนื่องในโอกาสที่ปีนี้เป็นปีที่ครบรอบ ๒๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และครบรอบ ๒๖๐๐ ปี แห่งการแสดงปฐมเทศนา ข้าพเจ้าในฐานะชาวพุทธผู้หนึ่งก็เลยเขียน (พิมพ์) บทความที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าว โดยขอออกตัวก่อนเลยว่าผู้เขียนเองไม่ใช่ผู้รู้ในเรื่องของพระไตรปิฎกดีนัก ดังนั้น จึงขอให้ชาวพุทธทั้งหลายช่วยกันมาอ่านบทความนี้ เพื่อที่จะได้วิพากษ์วิจารณ์และชี้แนะให้ข้าพเจ้าทราบว่าเรื่องที่ข้าพเจ้ากล่าวถึงนั้นถูกผิดประการใด จะได้แก้ไขให้ถูกต้อง ข้าพเจ้าหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาและต่อสังคมไทย

       ตอนนี้เป็นตอนแรกในจำนวน ๓ ตอน ข้าพเจ้าจะขอกล่าวถึงคติธรรมที่ข้าพเจ้าได้จากการศึกษา
พระประวัติของพระมหาบุรุษตั้งแต่ช่วงประสูติจนกระทั่งถึงตอนที่พระองค์ตรัสรู้  โดยเฉพาะข้อคิดที่ได้จากการเสด็จออกผนวชของพระองค์

         ชาวพุทธทุกคนทราบดีว่าเจ้าชายสิทธัตถะนั้นทรงออกผนวชเมื่อพระชนมายุได้ ๒๙ พรรษา ทรงออกแสวงหาโมกขธรรมโดยเรียนรู้จากทุกสำนัก เช่น จากอาฬารดาบส และจากอุทกดาบส ทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยาจนพระวรกายซูบผอม และในที่สุดทรงหันมาบำเพ็ญเพียรทางจิตด้วยทางสายกลาง จนในที่สุดพระองค์ก็สามารถตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สำเร็จ

         ชีวิตของพระมหาบุรุษนับตั้งแต่วัยเยาว์จนกระทั่งถึงตอนที่ตรัสรู้นั้นให้ข้อคิดที่ดีอยู่หลายประการ

        ประการแรก คือ การออกบวชดีกว่าการครองบ้านเมือง ทั้งนี้ แม้ว่าการครองบ้านเมืองเป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ทรงธรรมนั้น จะสามารถทำประโยชน์ให้แก่มหาชนส่วนมากได้ก็ตาม แต่การครองบ้านเมืองนั้นก็มีข้อจำกัดในการสร้างประโยชน์สุขให้แก่มหาชนทั่วไป กล่าวคือ
                             ๑) การปกครองบ้านเมือง ย่อมจะต้องปกครองประชาชนให้อยู่เย็นเป็นสุขตลอดเวลา ทั้งต้องรักษาความสงบเรียบร้อยในอาณาจักร ซึ่งการจะปกครองบ้านเมืองให้สงบสุขเช่นนี้จักต้องอาศัยตัวบทกฎหมายและการลงโทษผู้กระทำผิดอาญาแผ่นดิน บางครั้งการลงโทษก็เป็นเหตุให้ต้องประพฤติผิดศีลธรรม ดังมีตัวอย่างในชาดกเรื่องพระเตมีย์ ซึ่งพระเตมีย์ทรงเห็นการที่พระราชบิดาทรงลงอาญาแก่เหล่าโจรผู้ร้ายด้วยทัณฑ์อันน่าสยดสยอง เป็นเหตุให้พระเตมีย์ระลึกถึงความหลังครั้งอยู่ในนรก และบังเกิดความหวาดกลัวจนพระองค์ตัดสินพระทัยไม่รับราชสมบัติเพื่อหลีกเลี่ยงการต้องมาทำบาปทำกรรมเช่นนั้น
                              ๒) การปกครองบ้านเมืองนั้นจักต้องรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนของตนยิ่งกว่าประโยชน์ของชาติบ้านเมืองอื่น การกระทำเช่นนี้เป็นข้อจำกัดการบำเพ็ญประโยชน์เกื้อกูลแก่มหาชนทั้งหลาย เนื่องจากไม่ได้เกื้อกูลประโยชน์แก่ชาวโลกโดยเสมอภาคกัน แต่เอื้อประโยชน์ให้แก่
ชนชาติตนมากกว่า จึงยังมีลักษณะที่เห็นแก่ตัว บางครั้งก็อาศัยการทำสงครามผนวกดินแดนเพื่อความยิ่งใหญ่แห่งชนชาติตน หรือเพื่อแสวงหาประโยชน์จากดินแดนที่ตนยึดครอง ซึ่งเป็นการสร้างความหายนะแก่ชนชาติอื่นเพื่อประโยชน์ของชนชาติตน   ถ้าดูเหตุการณ์ที่เป็นข่าวในปัจจุบันจะเห็นได้ว่า ความขัดแย้งเรื่องดินแดนหรือน่านน้ำระหว่างประเทศทั้งหลาย (เช่น กรณีความขัดแย้งเรื่องหมู่เกาะสแปรตลีย์ เป็นต้น ) นั้น ก็มีสาเหตุมาจากการแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติเพื่อผลประโยชน์ของชาติบ้านเมืองตนทั้งนั้น พระเวสสันดรเองถูกขับออกจากบ้านเมือง เนื่องจากประชาชนไม่พอใจที่พระองค์พระราชทานช้างคู่บ้านคู่เมืองไปให้แก่ชาติบ้านเมืองอื่น ก็เพราะประชาชนมองว่าพระองค์ไม่รักษาผลประโยชน์ของชาติบ้านเมืองนั่นเอง
                             ๓) การปกครองบ้านเมืองจะต้องประสบกับปัญหาสารพัดที่เกิดขึ้นทุกวันในครอบครัวและในสังคม ไม่ว่าจะมาจากความประพฤติของคนรอบข้างก็ดี จากคนในครอบครัวก็ดี จากคนในสังคมบางกลุ่มบางพวกก็ดี จากโจรผู้ร้ายก็ดี หรือจากขุนนางข้าราชการก็ดี แม้นว่าผู้ปกครองบ้านเมืองจะตั้งมั่นอยู่ในธรรม ไม่เคยประพฤติตนเสื่อมเสียเลยก็ตาม แต่ก็จะต้องมาจัดการแก้ไขปัญหาที่บุคคลอื่นเป็นผู้ก่อขึ้น นับเป็นความวุ่นวายอย่างมาก และจะต้องประสบกับความกังวลใจในบั้นปลายพระชนมชีพในการเลือกผู้สืบทอดเพื่อปกครองบ้านเมืองต่อเป็นแน่แท้
                             ๔) การอยู่ครองบ้านเมืองไม่ช่วยให้หลุดพ้นจากความทุกข์ไปได้ เพราะการอยู่ครองบ้านเมืองทำให้ต้องวุ่นวายอยู่กับการบริหารปกครองและทำนุบำรุงบ้านเมือง ไม่มีเวลาที่จะมาบำเพ็ญเพียรทางจิตเพื่อความหลุดพ้น

            ดังนั้น การออกบวชจึงเป็นหนทางที่ดีกว่าการครองเรือนเพราะไม่ต้องทำบาปกรรมใด ไม่ต้องวุ่นวายกับการเลี้ยงดูครัวเรือน และได้ขจัดภาระในฐานะผู้ปกครองออกไป คงเหลือแต่ภาระหน้าที่ในการแสวงหาหนทางเพื่อความพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิงเท่านั้น

              ผู้ที่ปรารถนาจะหลีกเลี่ยงความวุ่นวายทางโลกถ้าไม่ติดขัดด้วยคุณสมบัติแล้วจึงสมควรออกบวชมากกว่าที่จะปฏิบัติธรรมในขณะครองเรือน เพราะจะอยู่ในฐานะและสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการบรรลุธรรมมากกว่า ทั้งนี้ การบวชดังกล่าวจักต้องเป็นการบวชเป็นระยะเวลายาวนาน ไม่ใช่การบวชแค่ตามประเพณีเท่านั้น
                          

        ประการที่สอง คือ การแสวงหาหนทางแห่งความดับทุกข์นั้นต้องอาศัยปณิธานที่แน่วแน่ การเรียนรู้และความเพียรทุกวิถีทาง พระมหาบุรุษนั้นคำนึงถึงการแสวงหาหนทางพ้นทุกข์มานานแล้ว พระองค์ได้พบเห็นเทวทูตทั้งสี่ (คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช) และในวันที่ออกผนวชนั้น พระองค์เห็นบรรดานางระบำทั้งหลายที่เต้นระบำขับกล่อมให้พระองค์เพลิดเพลินนั้น นอนกันไม่ได้สติ ทำให้เห็นภาพของสรีระที่ไม่พึงปรารถนา พระองค์ซึ่งมีพระทัยที่ตั้งมั่นในการแสวงหาหนทางพ้นทุกข์จึงได้เสด็จออกผนวชในคืนนั้นเลย ปณิธานที่แน่วแน่ของพระองค์สามารถดูได้จากการที่พระองค์เพียงแค่ทอดพระเนตรพระนางยโสธราพิมพาและพระโอรสก่อนที่จะออกผนวชโดยไม่ได้กล่าวคำอำลาหรือแตะต้องพระโอรสเลยแม้แต่นิดเดียว พระองค์เสด็จออกผนวชโดยทรงม้ากัณฑกะและมีเพียงนายฉันนะติดตามไปด้วยเท่านั้น พระองค์ปลงพระเกศาของพระองค์แล้วครองเพศนักบวชโดยไม่ทรงกลับเข้าบ้านเมืองของพระองค์ในระหว่างการบำเพ็ญเพียรอีกเลย  การที่พระองค์มุ่งศึกษาจากอาจารย์ทุกสำนักและการบำเพ็ญ
ทุกกรกิริยาอย่างหนักหน่วงเป็นการแสดงให้เห็นถึงความเพียรอันแก่กล้าอย่างที่ไม่มีผู้ใดจะทำได้มาก่อน ทั้งที่ไม่พระองค์ก็ไม่ทราบมาก่อนว่าความพ้นทุกข์เป็นเช่นไรแต่ไม่พระองค์ก็ไม่หยุดบำเพ็ญเพียร

             ผู้ที่ปรารถนาที่จะพ้นทุกข์ก็ต้องมีปณิธานที่แน่วแน่ มีความเพียรในการปฏิบัติธรรมที่แน่วแน่
ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคทั้งปวง (ลองศึกษาจากเรื่องพระมหาชนกดูนะครับ)

        ประการที่สาม คือ การแสวงหาหนทางแห่งความพ้นทุกข์นั้นจักต้องทำให้ถูกวิธี คำกล่าวที่ว่า
"ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น" ย่อมเป็นความจริง แต่ความพยายามดังกล่าวจะต้องทำให้ถูกวิธีด้วย เมื่อพระมหาบุรุษบำเพ็ญทุกกรกิริยามาจนถึงที่สุดแล้วก็ไม่พบความพ้นทุกข์ แต่กลับพบกับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส พระองค์ก็เรียนรู้ที่จะเปลี่ยนวิธีการ ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้ชาญฉลาดและไม่ยึดติดในวิธีการปฏิบัติ (หากพระองค์ยึดติดในวิธีการเดิม พระองค์ก็อาจไม่ได้ตรัสรู้แต่อาจจะสิ้นพระชนม์เสียก่อนก็เป็นได้) แม้นว่าพระองค์จะถูกปัญจวัคคีย์ที่คอยปรนนิบัติพระองค์ในระหว่างที่พระองค์บำเพ็ญทุกกรกิริยาทอดทิ้งพระองค์ไป แต่พระองค์ก็ไม่เปลี่ยนแปลงแนวคิด การปฏิบัติของพระองค์ในช่วงนี้เป็นการค้นพบทางสายกลาง และการบำเพ็ญเพียรทางจิต ซึ่งนับว่าพระองค์มาถูกทางแล้ว
            
       เช่นเดียวกัน ผู้ปฏิบัติธรรมที่ต้องการบรรลุธรรมก็ต้องปฏิบัติให้ถูกวิธีด้วยจึงจะถึงฝั่งพระนิพพาน (แต่ถึงจะไม่พ้นทุกข์ ก็นับว่าเป็นผู้มาถูกทางแล้ว ไม่หลงผิด ไม่หลงวิธีการ) ซึ่งการปฏิบัติให้ถูกวิธีนี้จะต้องอาศัยสติปัญญาและโพธิปักขิยธรรม และที่สำคัญจะต้องรู้ถึงด้วยว่าใจอยู่ตรงไหน

        ประการที่สี่ คือ การอยู่ในที่สงัดเพียงคนเดียวย่อมดีกว่าการอยู่ในที่ชุมชน   เนื่องจากการอยู่ในที่ชุมชนนั้นย่อมต้องวุ่นวายกับพฤติกรรมของบุคคลอื่น และต้องเสียเวลาในการติดต่อสื่อสารกับบุคคลอื่น จะต้องถูกจำกัดด้วยจารีตประเพณี หน้าที่ และมารยาทของสังคม แม้จะไม่ได้คบหากับผู้ใดแต่หากรับรู้ข้อมูลข่าวสารจากโลกภายนอกในขณะที่จิตยังไม่นิ่ง  ก็ย่อมต้องวุ่นวายใจกับความเป็นไปของสังคมโลกเป็นธรรมดา และในชุมชนนั้นก็มักจะมีบุคคล สถานที่ และวัตถุที่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติธรรม  ทำให้จิตใจหวั่นไหวได้ง่าย จึงไม่แปลกใจนักที่เจ้าชายสิทธัตถะจะต้องทรงหักใจหนีออกจากเวียงวังและบ้านเมืองเพื่อออกผนวช ก็เพื่อประโยชน์ในการบรรลุธรรมนั่นเอง และถึงแม้จะทรงบำเพ็ญเพียรในป่าที่ห่างไกลจากบ้านเกิดเมืองนอนของพระองค์แล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีปัญจวัคคีย์ที่คอยทำนุบำรุงพระองค์ ซึ่งตอนนี้ก็ยังเกี่ยวข้องกับบุคคลอื่นอยู่ จนเมื่อปัญจวัคคีย์ละทิ้งพระองค์ไปแล้วนั่นแหละ ที่พระมหาบุรุษได้อยู่เพียงลำพังพระองค์เป็นการอยู่อย่างสงบสงัด เป็นปัจจัยที่เอื้อต่อการตรัสรู้

       ผู้ที่ต้องการจะบรรลุธรรมจึงสมควรที่จะออกไปปฏิบัติธรรมอยู่ตามป่าเขาลำเนาไพรดังเช่นที่
พระธุดงค์ในอดีตเคยปฏิบัติ เพราะจะทำให้จิตใจสงบและเอื้อต่อการบรรลุธรรมได้มากกว่าอยู่ในเมืองหรือชุมชนหมู่บ้าน


       ทั้งหมดนี้ คือ คุณธรรมที่เอื้อให้พระมหาบุรุษทรงบรรลุธรรมตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีข้อสังเกตก็คือ การปฏิบัติธรรมของพระองค์นั้นเป็นการทวนกระแสสังคม กล่าวคือ การสละราชสมบัติออกผนวชนั้นเป็นการทวนกระแสความคาดหวังของพระราชบิดาที่ต้องการให้พระองค์เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ การเลิกบำเพ็ญทุกรกิริยาแล้วหันมาบำเพ็ญเพียรทางจิตเป็นการทวนกระแสการปฏิบัติของเหล่านักบวชในสมัยนั้น และการบำเพ็ญเพียรทางจิตเองก็เป็นการทวนกระแสกิเลสและจิตใจนั่นเอง

         เมื่อพระองค์ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระองค์ได้ออกเผยแพร่พระธรรมและสร้างสังคมแห่งสันติเพื่อประโยชน์สุขแก่ชาวโลกขึ้น พระพุทธองค์ทรงสร้างสังคมแห่งสันติสุขได้อย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป


อ้างอิง

[๑] พระเจ้าสิบชาติ โดย พยัคฆ์, อำนวยสาส์น, อำนวยสาส์นการพิมพ์ น. ๗-๘ และ น. ๓๖๒.

[๒] พระโคตมพุทธเจ้า , http://th.wikipedia.org/wiki/


วันอาทิตย์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2555

ไม่ควรกล่าวโจมตีพระพุทธศาสนา

จากกรณีที่พิธีกรในรายการ คิดเล่นเห็นต่างกับคำผกา ทางช่อง voice tv ได้วิพากษ์วิจารณ์นโยบาย
การสวดมนต์ข้ามปี และยังได้เลยไปวิพากย์วิจารณ์พระพุทธศาสนา ในประเด็นต่าง ๆ นั้น ข้าพเจ้าคงต้องออกมาแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้กันบ้างในฐานะที่เป็นพุทธศาสนิกชนคนหนึ่ง




ในประการแรกเลยขอตั้งข้อสังเกตว่า พิธีกรทั้งสองคนได้แสดงความคิดเห็นดังกล่าวของตนเองออกมาโดย
ไม่ได้มีแขกรับเชิญหรือผู้รับชมรับฟังรายการคนใดมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นไม่ว่าจะในทางสนับสนุนหรือคัดค้านเลย ในรายการมีเพียงแต่ข้อความที่เป็นตัวอักษรของบุคคลที่ชื่อ ภัควดี ไม่มีนามสกุล แสดงความคิดเห็นในทางลบต่อพระพุทธศาสนา (แต่ในข้อความใช้คำว่า "ศาสนา" เหมือนกับจะกล่าวโจมตีทุกศาสนา) เท่านั้น ซึ่งผู้รับชมก็ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าบุคคลดังกล่าวจะมีอยู่จริงหรือได้แสดงความคิดเห็นดังกล่าวจริงหรือไม่




ส่วนประเด็นที่พิธีกรกล่าวโจมตีพระพุทธศาสนานั้น ข้าพเจ้าจับได้ ๖ ประเด็น และทุกประเด็นข้าพเจ้ามีข้อโต้แย้ง ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้




๑) การจัดงานสวดมนต์ข้ามปีเป็นการเบี่ยงเบนประเด็นปัญหาของสังคม และเป็นการใช้เงินงบประมาณของแผ่นดิน


จริงอยู่ที่การสวดมนต์นั้นอาจจะไม่ได้เป็นการแก้ไขปัญหาของสังคมได้ทั้งหมด แต่ถ้าลองคิดดูว่าการที่คนทั่วไปมาสวดมนต์แทนที่จะไปก่อเรื่องนั้นก็เป็นการลดจำนวนคนที่จะก่อเหตุร้ายต่อสังคมได้มิใช่หรือ
เช่นนี้การสวดมนต์ก็น่าที่จะมีส่วนสำคัญในการลดปัญหาของสังคมลงได้


ส่วนการใช้งบประมาณแผ่นดินนั้นในการจัดงานนั้นก็เป็นการสมควรอยู่ เนื่องจาก มาตรา ๗๙ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปัจจุบัน (พุทธศักราช ๒๕๕๐) บัญญัติว่า" รัฐต้องให้ความอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา...รวมทั้งสนับสนุนการนำหลักธรรมของศาสนามาใช้" เมื่อรัฐธรรมนูญได้กำหนดหน้าที่ของรัฐบาลเอาไว้เช่นนี้แล้ว การนำเงินงบประมาณมาใช้เพื่อจัดกิจกรรมทางพระศาสนาก็ย่อมเป็นการถูกต้องตามกฎหมายสูงสุดของประเทศอยู่แล้ว ทั้งพิธีกรเองก็ไม่ได้พิสูจน์ว่าการใช้เงินงบประมาณดังกล่าวส่อไปในทางทุจริตหรือฉ้อโกงอย่างใด ดังนั้น ข้อกล่าวหานี้จึงฟังไม่ขึ้น




๒) การพยายามยกย่องศาสนาพุทธให้เหนือกว่าศาสนาอื่น ทั้งที่คนอยู่กันมาได้โดยไม่มีศาสนาพุทธ


การยกย่องศาสนาพุทธว่าเหนือกว่าศาสนาอื่นนั้น ถ้าไม่ได้ทำในลักษณะเป็นการดูหมิ่นเหยียดหยามศาสนาอื่นแล้วก็ไม่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแต่อย่างใด และไม่เป็นการผิดกฎหมาย ในทางปฏิบัติชาวพุทธเป็นคนใจกว้างยอมคบค้าสมาคมกับคนต่างชาติต่างศาสนาอยู่แล้วโดยไม่มีเหตุต้องมารังเกียจเดียดฉันท์เลย ไม่เข้าใจว่าพิธีกรกล่าวโจมตีทำไม




๓) การให้ความสำคัญกับศาสนาพุทธมากกว่าศาสนาอื่น เป็นการบีบบังคับศาสนิกชนของศาสนาอื่นให้อยู่ภายใต้ระเบียบกฎเกณฑ์และพิธีกรรมของศาสนาพุทธ และไม่ให้ความสำคัญกับศาสนาอื่น


การให้ความสำคัญกับศาสนาพุทธมากกว่าศาสนาอื่นนั้นเป็นเรื่องธรรมดา เนื่องจากคนไทยส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ และศาสนาพุทธมีส่วนเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของคนไทยมากกว่าศาสนาอื่น การที่รัฐบาลจะกำหนดบังคับให้มีการเรียนวิชาพระพุทธศาสนาก็ดี การกำหนดกฎเกณฑ์โดยอาศัยหลักเกณฑ์ของศาสนาพุทธเป็นหลักก็ดี ก็เป็นเรื่องนโยบายของรัฐในการให้ความสำคัญกับศาสนาหลักที่อยู่คู่กับสังคมไทยมาเป็นเวลานับพันปีแล้ว (นับจากเวลาก่อนสมัยสุโขทัย) ทั้งรัฐธรรมนูญฯ ก็ได้กำหนดหน้าที่ของรัฐว่าต้องอุปถัมภ์และให้การคุ้มครองพระพุทธศาสนา (ดังที่กล่าวข้างต้นแล้ว)




การที่พิธีกรเห็นว่าการให้ความสำคัญกับศาสนาพุทธมากและการพยายามให้มีการบัญญัติให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติเป็นการคลั่งศาสนาและบีบบังคับศาสนิกชนของศาสนาอื่นนั้น เห็นว่าเป็นความคิดเห็นที่มองชาวพุทธในแง่ร้าย เนื่องจากไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าชาวพุทธได้กีดกันไม่ให้มีการเผยแผ่ศาสนาอื่น การประกอบพิธีกรรมของศาสนาอื่นหรือกลั่นแกล้งรังแกกดขี่ข่มเหงศาสนิกชนของศาสนาอื่นแต่อย่างใด ศาสนิกชนของศาสนาอื่นยังมีเสรีภาพในการเผยแผ่ศาสนา การปฏิบัติตามหลักธรรมและสามารถประกอบพิธีกรรมได้ตามปกติ


จริงอยู่ที่การห้ามคลุมฮิญาบในโรงเรียนวัดหรือการบังคับให้นักเรียนผู้ที่นับถือศาสนาอื่นต้องเรียนวิชาพระพุทธศาสนานั้นอาจจะเป็นการบังคับให้ผู้นั้นต้องกระทำการขัดต่อหลักศาสนาที่นักเรียนผู้นั้นนับถือ แต่ก็เป็นการบังคับเฉพาะในขอบเขตที่จำกัดในเรื่องสถานที่ (เฉพาะในโรงเรียนวัด หรือวัดพุทธ) และเวลา (เฉพาะเวลาเรียน) ไม่ได้เป็นการจำกัดตลอดเวลาหรือทุกสถานที่




ส่วนการจะให้วันสำคัญทางศาสนาอื่นเป็นวันหยุดประจำชาติ (National Holiday)ด้วยนั้น หากทำเช่นนั้นจะทำให้มีวันหยุดมากเกินไป และจะทำให้คนไม่ทำงาน ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมให้คนไทยเป็นคนเกียจคร้าน และส่งผลกระทบต่องานราชการ ระบบเศรษฐกิจของประเทศ และการเรียนการสอนหนังสือด้วย (เพราะไม่มีการเรียนการสอนในวันดังกล่าว)




๔) มีความพยายามทำให้รัฐไทยเป็นรัฐศาสนา หากมีการบวชจะทำให้รัฐไทยหายไป


พิธีกรกล่าวคล้ายกับเป็นการประชดประชัน คนไทยหรือชนชาติไหนก็แล้วแต่ ไม่สามารถที่จะบวชได้ทุกคน เพราะมีพุทธบัญญัติและพระวินัยกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะบวชได้ และกำหนดบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการบวชไว้ และโดยสภาพบุคคลบางพวก เช่น เด็กทารกไม่สามารถบวชได้ และคนทุกคนแม้จะเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีก็คงไม่ได้คิดที่จะบวชตลอดชีพทุกคน


การที่รัฐหรือประเทศใดประเทศหนึ่งจะหายไปจากโลกนั้นอาจมาจากเหตุใดเหตุหนึ่ง หรือปัจจัยหลายประการประกอบกัน แต่ไม่เคยปรากฏเลยว่าการมีศาสนาทำให้รัฐหรือประเทศใดหายไปจากโลก ทั้งการเป็นรัฐทางศาสนาก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย มีรัฐในโลกนี้ที่รัฐบาลได้ประกาศความเป็นรัฐศาสนา เช่น สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน (การปกครองโดยอาศัยหลักศาสนาอิสลาม โดยมีผู้นำทางศาสนาเป็นประมุขสูงสุด) หรืออย่างราชอาณาจักรภูฏาน (โปรดดูรัฐธรรมนูญของราชอาณาจักรภูฏาน Article 3 ในเว็บไซต์ภาคภาษาอังกฤษของ www.constitution.bt การที่สถานที่ราชการและวัดวาอารามอยู่ในที่แห่งเดียวกัน) เป็นต้น

ส่วนการแสดงเครื่องหมายหรือธงธรรมจักรนั้นในงานพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา งานรัฐพิธี งานราชพิธีนั้นก็เป็นการแสดงออกถึงความเกี่ยวพันและความสำคัญของศาสนาพุทธในสังคมไทย ไม่ได้เป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนเสียหายแก่สังคม และไม่ได้เป็นการกระทำที่ผิดต่อกฎหมายหรือจารีตประเพณีแต่อย่างใด (ลองเปรียบเทียบกับงานแข่งขันกีฬานานาชาติที่จะมีรูปธงชาติ ติดอยู่ที่เสื้อของนักกีฬา หรือ การที่กองเชียร์ชาติต่าง ๆ โบกธงชาติ หรือเพ้นท์สีรูปธงชาติ(ของชาติตนเอง) ไว้ที่ใบหน้า ก็เป็นการแสดงออกถึงความเป็นชนชาตินั้น ก็เป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ผิดแต่อย่างใด)


๕) ศาสนาไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเป็นคนดี แก้ไขปัญหาของสังคมไม่ได้ และไม่ควรนำบทบัญญัติของศาสนามาแก้ไขปัญหาทางสังคมด้วยเพราะบทบัญญัติทางศาสนามีลักษณะบังคับไม่เปิดกว้าง


พิธีกรต้องเข้าใจว่า กฎหมายบ้านเมือง (ซึ่งพิธีกรมีความเห็นว่าเป็นสิ่งที่กำกับให้คนเป็นคนดี) นั้น ก็มีลักษณะบังคับกับคนทุกคนที่อยู่ในอาณาเขตของประเทศนั้นโดยไม่ต้องคำนึงว่าบุคคลนั้นจะยอมรับหรือเห็นด้วยกับบทบัญญัติตามกฎหมายดังกล่าวหรือไม่


และบทบัญญัติของกฎหมายไทยหลายฉบับหลายมาตราล้วนมีรากฐานในทางศีลธรรมทางพระพุทธศาสนา ขอยกตัวอย่างตามประมวลกฎหมายอาญา เช่น มาตรา ๒๘๘ บัญญัติว่า "ผู้ใดฆ่าผู้อื่นต้องระวางโทษ..." ตรงกับศีลข้อที่หนึ่ง มาตรา ๓๓๔ ความผิดฐานลักทรัพย์ ก็ตรงกับศีลข้อที่สอง หรือในเรื่องความผิดเกี่ยวกับเพศในลักษณะ ๙ ก็เข้าหลักเกณฑ์ของการผิดศีลข้อที่สาม หรือมาตรา ๑๓๗ การแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานก็ผิดศีลข้อที่สี่ เป็นต้น


และเราก็ยอมรับกันว่าผู้ที่ปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่ล่วงละเมิดบทบัญญัติของกฎหมายนั้น เป็นพลเมืองดีของสังคม เช่นนี้แล้วจะกล่าวได้อย่างไรว่าศาสนา (โดยเฉพาะพระพุทธศาสนา) ไม่เกี่ยวข้องกับความเป็นคนดี หรือแก้ไขปัญหาของสังคมไม่ได้




และขอถามว่าพิธีกรทราบได้อย่างไรว่าศาสนาแก้ปัญหาของสังคมไม่ได้ มีการทำวิจัยในเรื่องเหล่านี้อย่างเป็นระบบและครบถ้วนแล้วหรือยัง ?




๖) ศาสนาก่อให้เกิดสงครามศาสนา แต่สุราไม่ก่อให้เกิดสงคราม


ประเด็นนี้เป็นการกล่าวโจมตีทุกศาสนา (เพราะพิธีกรใช้คำว่า "ศาสนา" โดยไม่ระบุเฉพาะเจาะจงว่าเป็นศาสนาใด) แบบครอบคลุมทุกเรื่องตั้งแต่ศาสดา จนถึงหลักธรรมคำสอน และศาสนิกชน พิธีกรไม่ได้กล่าวให้ชัดเจนว่าศาสนาก่อให้เกิดสงครามได้จากเหตุใด แท้จริงแล้วพิธีกรควรคิดให้รอบคอบก่อนว่าการเกิดสงครามศาสนานั้นเกิดขึ้นเพราะเหตุใดกันแน่ จากคำสอน หรือจากนักบวช หรือศาสนิกชนบางกลุ่มของศาสนานั้น และถึงแม้ว่าตามประวัติศาสตร์จะเกิดสงครามโดยมีมูลเหตุมาจากการนับถือศาสนาต่างกัน หรือการนับถือศาสนาเดียวกันแต่ต่างนิกายกัน แต่ก็ไม่ปรากฏว่าเคยเกิดสงครามศาสนาอันเนื่องมาจากศาสนาพุทธหรือนิกายของศาสนาพุทธเลย




อนึ่ง ควรกล่าวไว้ในที่นี้ด้วยว่า ศาสนาเองก็มีส่วนในการระงับยับยั้งการก่อสงคราม โดยในกรณีของศาสนาพุทธนั้น ตามพุทธประวัติ พระพุทธเจ้าได้ห้ามทัพพระญาติของพระองค์ไม่ให้ทำสงครามชิงน้ำในแม่น้ำโรหิณีกัน ส่วนกรณีของศาสนาอื่นนั้น มีกรณีที่สงครามโลกครั้งที่ ๑ เกือบจะได้ยุติลงในปีแรกของสงครามอันเนื่องมาจากการที่ทหารของทั้งสองฝ่ายได้ฉลองเทศกาลคริสต์มาส (ชนชาติในยุโรปที่ทำสงครามกันนับถือศาสนาคริสต์) [1]




ส่วนสุรานั้นก็ให้เกิดผลเสียหายตามมามากมาย ทั้งก่อให้เกิดการทะเลาะวิวาท และอุบัติเหตุ จึงต้องมีกฎเกณฑ์ที่จำกัดการดื่มสุราหรือการจำหน่ายสุรา เช่น มาตรา ๔๓ (๒) พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ บัญญัติห้ามมิให้ผู้ขับขี่ขับรถในขณะเมาสุรา เป็นต้น ศีลข้อห้าของศาสนาพุทธ หรือแม้แต่ในศาสนาอิสลามก็มีข้อห้ามมิให้ศาสนิกชนดื่มเหล้า




ข้าพเจ้าจึงไม่ทราบและไม่เข้าใจว่าทำไมพิธีกรถึงเห็นว่าสุราดีกว่าศาสนา




สุดท้ายนี้ ข้าพเจ้าก็ไม่เข้าใจว่าการที่พิธีกรทั้งสองกล่าวโจมตีพระพุทธศาสนา(รวมถึงศาสนาอื่นด้วยในบางประเด็น) นั้นเป็นเพราะเหตุใด เนื่องจากนโยบายและแนวปฏิบัติที่พิธีกรกล่าวโจมตีนั้นก็มีมาเป็นเวลานานแล้ว โดยที่ไม่ปรากฏว่าก่อให้เกิดปัญหาสังคมตามมาแต่ประการใดเลย (หากปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักการและแบบพิธี) พิธีกรทั้งสองน่าจะตรวจสอบตัวเองก่อนว่าได้ปฏิบัติตัวให้เป็นคนดีและทำประโยชน์ให้กับสังคมแล้วหรือยัง ถึงค่อยมาวิพากย์วิจารณ์ผู้อื่น




เห็นด้วยกับข้าพเจ้าไหมครับ


หมายเหตุ




[2] ข้อมูลบทบัญญัติของกฎหมายนั้น ข้าพเจ้านำมาจากเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

วันเสาร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2555

มามองความดีของผู้อื่นกันเถอะ

สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม









อีกคนตาแหลมคม มองเห็นดาวอยู่พราวพราย (๑)


(๑) สองประโยคนี้เป็นข้อความที่มีการกล่าวถึงมาก ถ้าลองค้นดูใน Google จะพบผลการค้นหาอยู่เป็นแสน ๆ ข้อมูล























สวัสดีปีใหม่ครับ ขอให้ท่านผู้อ่านบทความนี้จงประสบแต่ความสุขความเจริญ ได้พบเห็นแต่สิ่งที่เป็นมงคล มีสุขภาพกายสุขภาพใจแข็งแรงสมบูรณ์ คิดหวังสิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ดีก็ขอให้ประสบแต่ความสำเร็จ ตลอดปีและตลอดไปครับ

















ถึงแม้จะเพิ่งมาสวัสดีปีใหม่กันในวันเด็กแห่งชาติ แต่ก็คงไม่สายเกินไปหรอกครับ เพราะวันขึ้นปีใหม่จีน (วันตรุษจีน) และวันขึ้นปีใหม่ไทย (วันสงกรานต์) ยังมาไม่ถึงเลยครับ

















ปี พุทธศักราช ๒๕๕๔ ที่ผ่านพ้นไปนับเป็นปีที่เหตุการณ์ต่าง ๆ ในโลกของเรานี้ ช่างไม่ดีเอาเสียเลย ทั้งแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่นิวซีแลนด์ สึนามิถล่มประเทศญี่ปุ่น สงครามกลางเมืองในภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ ตลอดจนมหาอุทกภัยที่เข้าท่วมแถบจังหวัดภาคกลางของประเทศไทยและกรุงเทพฯ อย่างหนัก จนบ้านผู้เขียนกลายเป็นเกาะกลางน้ำไปเกือบสองสัปดาห์ นับเป็นประสบการณ์ที่ไม่เคยเจอมาก่อนเลยครับ

















ปี พุทธศักราช ๒๕๕๕ นี้ หวังว่าทุกอย่างคงดีขึ้น แต่ทว่าก็มีคำทำนายถึงเหตุการณ์ร้ายแรงที่อาจจะเกิดขึ้นกับประเทศชาติบ้านเมืองและกับโลกมนุษย์

















กล่าวคือ ปีนี้ตรงกับปี คริสตศักราช ๒๐๑๒ ซึ่งหลายคนเชื่อว่าจะเป็นปีที่โลกถึงกาลอวสาน โดยอ้างอิงถึงคำทำนายของชาวมายาโบราณที่ได้จารึกเอาไว้ในแผ่นจารึกและปฏิทินต่าง ๆ สร้างความแตกตื่นให้กับคนทั้งโลก ยิ่งปีที่แล้วเกิดแต่เหตุการณ์เลวร้ายแล้ว ยิ่งสร้างความน่าเชื่อถือให้กับคำทำนายเหล่านั้นมากยิ่งขึ้น

















เมื่อผู้เขียนกลับมาจากการไปเที่ยวประเทศภูฏานเมื่อวันที่ ๔ มกราคม ที่ผ่านมา ผู้เขียนได้อ่านหนังสือพิมพ์ไทยรัฐแล้วพบว่า มีแต่ข่าวอัปมงคลอยู่เต็มไปหมด แถมพ่วงด้วยเรื่องคำทำนายที่จะเกิดเหตุวิบัติภัยอันร้ายแรง และแผนที่โลกใหม่ที่ว่ากันว่าประเทศไทยเหลือพื้นที่อยู่ครึ่งหนึ่งของพื้นที่ในปัจจุบัน อ้อ แล้วยังมีเรื่องที่ทำนายว่าปีนี้อาจเกิดน้ำท่วมหนักยิ่งกว่าปีที่ผ่านมาเสียอีก

















ก็ต้องรอดูกันว่าจะเป็นไปตามคำทำนายเหล่านั้นหรือไม่ ถ้าไม่เป็นก็ขอเรียกร้องให้ผู้ทำนายหรือผู้ตีความคำทำนายออกมารับผิดชอบด้วยนะครับ

















ทีนี้มาเข้าเรื่องกันดีกว่า ที่จั่วหัวเรื่องไว้ว่า "มามองความดีของผู้อื่นกันเถอะ" และยังได้ยกเอาบทกลอนที่ได้ยินกันอย่างแพร่หลายมาขึ้นต้นบทความในครั้งนี้นั้น ก็ด้วยเหตุที่ว่าในสังคมโลกใบนี้นับวันจะยิ่งปรากฏความเลวร้าย และการว่าร้ายกันหนาหูขึ้นทุกวัน

















ข่าวสารตามสื่อต่าง ๆ ก็มักจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการประพฤติผิดศีลธรรมและกฎหมาย การทุจริต ฉ้อราษฎร์บังหลวงของบรรดานักการเมืองและข้าราชการ การประพฤติตนที่เหลวแหลกของดารา และบุคคลสาธารณะมากมายทั้งในประเทศและต่างประเทศ คดีฆ่ากันตาย ครูล่วงละเมิดทางเพศต่อลูกศิษย์ ตลอดจนการต้องอาบัติของพระภิกษุสงฆ์และสมณะชีพราหมณ์ และข่าวต่างประเทศก็มีแต่เรื่องของการทำสงครามและการก่อการร้ายเต็มไปหมดทุกตรอกซอกมุมของโลก เสมือนหนึ่งว่าโลกนี้มีแต่ความชั่วร้าย















การรับรู้ถึงสิ่งเหล่านี้ทำให้สุขภาพจิตเสียได้ง่าย ๆ และไม่ได้เป็นการจรรโลงสังคมแต่อย่างไรเลย เพราะการกล่าวประณามหรือการประจานสิ่งชั่วร้ายก็ไม่ได้ช่วยให้ความชั่วร้ายในโลกนี้หายไปและก็ไม่ได้ทำให้คนประณามหรือคนประจานกลายเป็นคนดีศรีสังคมได้แต่อย่างใดเลย






...สิ่งแวดล้อมในปัจจุบันนี้ เป็นไปในทางมองแง่ร้ายของคนอื่น






...สมัยนี้ดูเหมือนเราจะได้ยินรอบ ๆ ข้างว่าคนนั้นไม่ดี คนนี้โง่เขลา คนโน้นทุจริต






ความจริงจะเป็นอย่างไรก็ตามที แต่สิ่งแวดล้อมหรือบรรยากาศที่เป็นเช่นนี้ เป็นอันตรายแก่มโนธรรมของอนุชนรุ่นหลังเป็นอย่างยิ่ง






เพราะเป็นเครื่องสร้างนิสัยของอนุชนหรือยุวชน ให้มุ่งมองในแง่ร้ายของคน แล้วความร้ายนั้นก็กลับเข้ามาสู่ตัวเอง... (๒)












(๒) พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ. วิธีทำงานและสร้างอนาคต. พิมพ์ครั้งที่ ๔ กรุงเทพฯ : สร้างสรรค์บุ๊คส์,พฤศจิกายน ๒๕๕๐ น.๗๒ ย่อหน้าที่ ๒






ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับที่หลวงวิจิตรวาทการเขียน โดยดูตัวอย่างได้จากเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองของประเทศไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งหลายคนที่ข้าพเจ้าได้พบปะนั้นมักจะพูดถึงความชั่วของกลุ่มคนที่เคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าคนนั้นเกลียดกลุ่มไหน แต่ละเลยที่จะพูดแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างถูกต้อง เป็นการพูดโดยอาศัยอารมณ์และอคิตเป็นตัวขับเคลื่อนทั้งสิ้น (และมักจะพูดลับหลังคนที่ตนด่าด้วย)





ทีนี้ท่านผู้อ่านลองคิดไตร่ตรองดูให้ดีก็จะพบว่าสิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้ย่อมมีสองด้านเสมอ มีด้านสร้างสรรค์และด้านที่ทำลายล้าง ด้านที่ดีงามและด้านที่เลวร้าย บุคคลทั้งหลายในโลกที่ยังเป็นปุถุชนก็มีสองด้านเช่นกัน ดังเช่นที่มีด็อกเตอร์แจ็กกิลกับมิสเตอร์ไฮด์ (Dr. Jekyll and Mr. Hyde) (๓) ซึ่งด้านที่ดีงามย่อมสร้างสรรค์ความเจริญงอกงาม และประโยชน์อันมากมายให้แก่สังคมโลก ดังนั้น คนที่ฉลาดสมควรเลือกเอาด้านที่ดีมีประโยชน์มาใช้ในการพัฒนาตนและช่วยในการจรรโลงสังคม จะเป็นผลดีกว่าการกล่าวประณามมากมายนัก





(๓) เป็นตัวละครที่มีสองบุคลิก กล่าวคือ ด้านหนึ่งเป็นหมอรักษาคนไข้ อีกด้านเป็นฆาตกรกระหายเลือด





การที่เรายกย่องชาวญี่ปุ่นว่าเป็นชนชาติที่มีระเบียบวินัย โดยที่เราก็รู้ว่าในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองนั้น ทหารญี่ปุ่นแสดงความโหดร้ายอย่างไร แสดงว่าเรามองเห็นถึงนิสัยที่ดีของชาวญี่ปุ่น








เราชื่นชอบนักฟุตบอลอังกฤษ ชอบไปเที่ยวหรือไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษและฝรั่งเศสโดยที่เราก็เรียนรู้จากวิชาประวัติศาสตร์ว่า ทั้งสองชนชาตินี้พยายามที่จะยึดประเทศสยามของเราให้เป็นเมืองขึ้น แสดงว่าเรายอมมองข้ามประวัติด้านไม่ดีของชนชาติเหล่านั้นไป และมองแต่ที่สิ่งที่ดีแทน





เรารับเอาระบบกฎหมาย วิทยาการ สินค้า ฯลฯ จากชนชาติตะวันตก แสดงว่าเราพิจารณาแล้วเห็นว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ดี



การมองแง่ดีของคนอื่น นอกจากจะช่วยให้เรามีความคิดในด้านบวก รู้สึกว่าโลกแจ่มใส มองเห็นโอกาสในวิกฤต และเกิดแรงบันดาลใจแล้ว เรายังอาจจะอยากเลียนแบบสิ่งที่เป็นความดีของบุคคลนั้นด้วย ดังเช่นข้อเขียนของหลวงวิจิตรวาทการที่กล่าวว่า




...คนที่ชอบมองแง่ไหน ผลในแง่นั้นจะมาถึงตัว






คนที่มองเห็นแต่ความชั่วความไม่ดีของคนอื่น จะมีความดีในตัวน้อยเต็มที






และความชั่วจะหลั่งไหลมาสู่ตัวของเขาเอง






คนที่สนใจศึกษาแง่ดีของผู้อื่น ย่อมจะสามารถดูดดึงเอาความดีนั้น ๆ มาเข้าตัวได้เสมอ (๔)







(๔) พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ อ้างแล้ว น. ๗๐ - ๗๑.



การมองแง่ดีของคนอื่น เพื่อที่จะได้นำมาเป็นแบบอย่างนั้น ไม่ใช่การมองว่าการกระทำใด ๆ ก็ตามของบุคคลอื่นเป็นสิ่งที่ถูกต้องทั้งหมด หรือเป็นการทำสิ่งที่ดีทั้งหมด แต่เป็นการค้นหาและพิจารณาว่าการกระทำของบุคคลอื่นนั้น เป็นการกระทำที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ถูกต้องตามกฎหมาย และเป็นไปตามหลักการหรือไม่ หากใช่ ก็นับว่าเป็นสิ่งดี ควรสรรเสริญ และควรเอาอย่าง หากไม่ใช่ก็ไม่ควรเอาอย่าง หากบุคคลอื่นมีข้อบกพร่องตามประสาปุถุชน ทำผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ควรให้อภัย ไม่ควรไปมองในแง่ลบ




แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น การจะเลียนแบบสิ่งที่ดีของบุคคลอื่นก็จะต้องกระทำอย่างชาญฉลาด และไม่เสียความเป็นตัวของตัวเอง หรือละทิ้งแนวประพฤติปฏิบัติอันดีงามของตนไป ดังเช่น พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่พิมพ์ไว้ในธนบัตรมูลค่า ๕๐๐ บาท ว่า



การงานสิ่งใดของเขาที่ดี ควรจะเรียนร่ำเอาไว้ก็เอาอย่างเขา


แต่อย่าให้นับถือเลื่อมใสไปทีเดียว

















ถ้าทำได้ดังนี้แล้ว ตัวท่านและสังคมก็จะพบกับความสงบสุขและการมีเบียดเบียนกันน้อยลงกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้เป็นแน่







ดังนั้น เมื่อท่านมองลอดรูหรือช่องในครั้งต่อไป อย่าได้มองเห็นโคลนตมอันเน่าเละ แต่จงมองให้เห็น ดวงดาวอันสุกสกาวสว่างไสว ให้แสงแห่งความงามจับตาจับใจท่านผู้อ่านทุกท่าน


สวัสดีปีใหม่ครับ (พิมพ์จบวันตรุษจีนพอดี)