วันพฤหัสบดีที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

นิยายลา ฟลอร่า ตอน โก โก บอลโลก (๑)

ในห้องส่งสัญญาณ

“ในตอนนี้นักฟุตบอลทั้งสองทีมพร้อมลุยแล้วนะครับ รอเพียงแค่สัญญาณจากกรรมการของเรา ครูฌาแนตต์เท่านั้น” ครูวินเซนต์ประกาศผ่านทางไมโครโฟน ตอนนี้เขากำลังนั่งอยู่ในห้องบันทึกภาพบนสนามกีฬาประจำโรงเรียนลา ฟลอร่า

“คุณคิดว่าการแข่งขันคราวนี้จะเป็นแมตช์แห่งปีไหมครับ” ครูวินเซนต์หันไปถามพิธีกรอีกคนซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ เขา ครูอาเลเนีย ดาซาน นั่นเอง

“น่าจะเป็นเช่นนั้นนะครับคุณวินเซนต์ ก็เราเล่นรวมดาราจากทั้งฝั่งลา ฟลอร่า และทางฝั่งโนอาห์ซะขนาดนี้ เห็นว่าราชาทั้งห้าของโนอาห์ก็ลงแข่งหมดเลยนะครับ”

“แต่น่าเสียดายหน่อยนะครับ ที่ประธานนักเรียนคลาสพริ้นซ์ คิม กียุล จับสลากได้อยู่ทีม A ในขณะที่ราชาอีกสี่คนที่เหลืออยู่ทีม B หมดเลย แล้วเขาจะต้านทานสี่ราชาที่เหลือไหวไหมนี่” ครูวินเซนต์ทำท่าครุ่นคิด

“แหม! ไม่ต้องกังวลไปหรอกครับคุณวินเซนต์ทางฝั่งทีม A ก็มีตัวเก่งอย่างซาเนียน่าจากอาร์เจนติน่า และยังได้รับเกียรติจากเจ้าหญิงมิเอเล่แห่งอาณาจักรพรอบพอลิสที่เข้ามาร่วมแข่งขันในครั้งนี้ด้วย คุณจะต้องทึ่งในความสามารถทางด้านฟุตบอลของเจ้าหญิงเลยล่ะครับ และอย่าลืมโรซารี่ เกรย์ เด็กสาวอัจฉริยะที่ได้ร่วมทีมอีกด้วยนะครับ”

“เอ ! แต่โรซารี่จะไหวเหรอครับได้ข่าวว่า เธอไม่ค่อยเก่งด้านกีฬาสักเท่าไหร่นี่ครับ”

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับคุณวินเซนต์ เธอได้ผ่านการฝึกซ้อมมาพอสมควรเลยเราจะได้เห็นความสามารถของเธอกันในวันนี้นี่แหละครับ”

“ผมก็รอดูอยู่นะครับ และหวังว่าจะได้เห็นความสามารถของเจ้าหญิงเจ้าชายอีกหลายคนที่ร่วมแข่งขันกันในวันนี้ ต้องขอขอบคุณท่านผอ. ไนติงเกลมาก ที่จัดให้มีการแข่งขันนัดพิเศษนี้ขึ้นมาเป็นการรับกระแสฟุตบอลโลกที่บราซิลนะครับ เอาล่ะครับ ดูเหมือนกรรมการจะให้สัญญาณแล้วนะครับ”

ในสนามฟุตบอล

“เอาล่ะขอให้นักฟุตบอลทั้งสองทีมแข่งขันกันให้เต็มที่ แข่งอย่างสมศักดิ์ศรี ไม่โกง และไม่ทะเลาะวิวาทกันนะฮ้า ปรี๊ด !! เริ่มการแข่งขันได้” ครูฌาแนตต์ เป่านกหวีดเริ่มการแข่งขัน

ห้องส่ง

“เอาล่ะครับ ทีม A เริ่มเตะก่อนนะครับ กียุลส่งลูกไปให้เจ้าหญิงมิเอเล่ เจ้าหญิงมิเอเล่วิ่งเลี้ยงลูกนำไปข้างหน้า ฮอรัส และคริสโตเฟอร์ ทีม B พยายามสกัดไว้ เจ้าหญิงเตะลูกกลับคืนไปให้กียุล กียุลเตะส่งไปให้เพลโต เพลโตยิงไกล เหมยฮัวพยายามวิ่งไล่ตามไปแต่ทางนาซิสซ่าสกัดลูกไว้ได้ และโต้กลับที่แดนของทีม A แต่เจ้าหญิงก็แย่งลูกมาได้ และส่งไปให้เหมยฮัว เหมยฮัวรับลูกไว้ได้ อ้าว ! กรรมการให้ใบเหลืองครับ เล่นใช้มือรับลูกแบบนั้น”  ครูวินเซนต์บรรยายอย่างออกรส

“ทีม B พยายามบุกอย่างหนัก แต่ก็ถูกกียุลแย่งลูกมาได้ เขาวิ่งนำไปแต่ถูกดันเต้ขวางไว้ ส่งลูกกลับไปให้ซาเนียน่า ซาเนียน่าวิ่งขึ้นไปเจอกับอาเดรียน่าที่พยายามแย่งลูก แต่ซาเนียน่าก็หลบมาได้ แต่อาเดรียน่าก็ยังตามติดอยู่และแย่งบอลมาได้ ซาเนียน่าแย่งกลับมาได้อีกครั้ง โอ ! ลีลาเธอช่างพลิ้วไหวเหลือเกิน สมแล้วที่เป็นชาวอาร์เจนติน่า อาเดรียน่าพยายามขวางไว้อีกครั้ง ซาเนียน่าเตะลูกไปให้อิซซาเบลล่า แต่พลาดครับ ถูกนาซิสซ่าแย่งลูกไปได้ และส่งไปให้ฮอรัส ฮอรัสส่งต่อให้คริสโตเฟอร์ เจ้าหญิงเตะลูกออกข้างสนามครับ ...” ครูอาเลเนียก็พากย์บอลสนุกเหมือนกัน

“เอาล่ะครับ คริสโตเฟอร์โยนบอลไปให้ดันเต้ ดันเต้ส่งต่อให้มาริโอน่า ตอนนี้เอสเมอรันด้าพยายามแย่งบอล แย่งมาได้แล้วส่งให้โรซารี่ มาดูลีลาของโรซารี่กันครับ  เอ่อ รอสักครู่นะครับ” ครูวินเซนต์หยิบสมาร์ทโฟนของตนขึ้นมาดูแล้วกลับมาพากย์ต่อ “มีแฟนบอลส่งไลน์มาบอกว่าให้เรียกว่าโฮนิกจะดีกว่า ถ้าอย่างนั้นหากผมกล่าวถึงเจ้าหญิงมิเอเล่ก็จะใช้คำว่าโฮนิกแทนนะครับ แต่ตอนนี้มาดูกันดีกว่าว่าโรซารี่จะทำอย่างไร”

ในสนามฟุตบอล

“ใช้ได้นี่นา” มาริโอน่าเอ่ยปากชมเมื่อเห็นโรซารี่ใช้เทคนิกในการเลี้ยงลูกบอลหลบหลีกเธอและมีนาได้

“ผลจากการฝึกซ้อมยังไงล่ะ” โรซารี่ตอบ พลางหลบนาซิสซ่าซึ่งพยายามแย่งลูกบอลจากเธอ

“ท่านพี่โรส /คุณโรซารี่ สู้ ๆ” ที่ข้างสนามฟุตบอล แฟนคลับโรซารี่อย่างมิเนียร่า และซาลูน่า ยกพู่สีแดงสด ซึ่งเป็นสีของทีม A ขึ้นเหนือหัว พร้อมเต้นรำและร้องเพลงเชียร์ไปด้วย บรรดาแฟนคลับคนอื่นก็ส่งเสียงเชียร์ บ้างก็ชูรูปโรซารี่ขึ้นเหนือหัว

“กรี๊ด ! คุณโรซารี่เท่จังเลยค่า” เสียงเชียร์จากบนอัฒจรรย์ทำเอาเด็กสาวฝรั่งเศสผมสีบลอนด์ออกอาการหงุดหงิด

“แฟนคลับเยอะจริงนะเธอ” นาซิสซ่าอยู่ในชุดสีน้ำเงินมีรูปตราไก่อยู่ตรงอกเสื้อแขวะแต่โรซารี่ไม่สนใจรีบวิ่งเลี้ยงลูกไปที่ฝั่งของทีม B และเจอกฤษณะขวางอยู่ข้างหน้า

“โอ้! อย่าหวังว่าจะผ่านฉันไปได้ง่าย ๆ นะนายจ๋า  อ้าว! ไปไหนแล้วล่ะ” กฤษณะยังไม่ทันพูดจบ โรซารี่ก็วิ่งผ่านเขาไปได้อย่างสบาย

“นายก็มัวแต่พล่ามอยู่ได้ เห็นไหมไปถึงกรอบเขตโทษแล้ว” มีนา อรันตี กล่าวพลางวิ่งไปพลาง

อเล็กเซซึ่งทำหน้าที่รักษาประตูทีม B อยู่ทำหน้าตาขึงขัง ถึงจะเป็นคุณโรซารี่เราก็อ่อนข้อให้ไม่ได้ส่วนโรซารี่กลับเห็นว่า อเล็กเซนายช่างดูเท่จริง ๆ เท่แบบน่ารักน่ะ ยิงไม่ลง แต่ต้องยิง ยิงเท่านั้นจึงจะได้ประตู

ในห้องส่งครูวินเซนต์ยังคงพากย์ต่อไปอย่างออกรส

“เอาละครับ โรซารี่ลากบอลเข้ามาในกรอบเขตโทษแล้ว ไม่ล้ำหน้าด้วย และยิงครับ แต่เบาเหลือเกินทำให้อเล็กเซปัดเอาไว้ได้ คริสโตเฟอร์เตะลูกส่งไปให้ดันเต้ ดันเต้ยิงยาว ออกนอกสนาม ทีม A ได้ลูกทุ่มครับ”




“ตอนนี้ทีม B เป็นฝ่ายบุกคืนแล้วครับ โอ้! มาริโอน่าเลี้ยงบอลเข้ามาในกรอบเขตโทษ และส่งให้ฮอรัส ฮอรัสส่งคืนให้เหมยฮัว เหมยฮัวยิงเข้าไป ไม่เหลือครับ ตุงตาข่าย ทีม B นำ ๑ : ๐ อ้าว ! ผู้รักษาประตูทีม A ร้องไห้ซะแล้วครับ แต่ไม่เป็นไรครับ เพราะคริสโตเฟอร์ช่วยดึงเธอขึ้นมาแล้วลูบหัวปลอบใจเธอ ช่างเป็นสุภาพบุรุษจริง ๆ เลยครับ (เหรอ?) เรียกเสียงฮือฮาได้ทั้งอัฒจรรย์เลยครับ”

ในสนามฟุตบอล

“ฮือ ฮือ ขอโทษนะเจ้าคะที่รักษาประตูไว้ไม่ได้” ยูริทรุดตัวลงนั่งกับพื้นสนามหน้าประตู

“โอ๋ ! โอ๋ ! อย่าร้องไห้เลยนะ กัปตัน C.L.O.C.K. มาช่วยแล้ว โอ๊ย! ยูทำอะไรน่ะฮอรัส” คริสโตเฟอร์ลูบหัวตัวเองที่เพิ่งถูกแจกมะเหงกไป

“นี่เรากำลังอยู่ระหว่างการแข่งขันนะขอรับ กรุณาอย่าทำอะไรให้ประเจิดประเจ้อ คนดูอยู่ทั้งสนาม”

“แหม ! สุภาพสตรีมีปัญหา เจ้าชายอย่างพวกเราก็ต้องเข้ามาให้ความช่วยเหลือใช่ไหมครับทุกคน” คริสโตเฟอร์ตะโกนไปยังคนดูที่อยู่บนอัฒจรรย์

“ตะโกนแบบนั้นคิดว่าคนดูจะได้ยินที่คุณพูดหรือไงขอรับ เอามะเหงกไปกินอีกสักผลก็แล้วกัน” ฮอรัสเงื้อกำปั้นใส่หัวของคริสโตเฟอร์

“ปรี๊ด! หยุดนะฮ้า ทำร้ายร่างกายนักฟุตบอลทีมอื่นแบบนี้ต้องเจอใบเหลืองฮ่า” กรรมการ (ครูฌาแนตต์) ชูใบเหลืองให้ฮอรัสดู เขาอ้าปากค้าง

“ลื้อนี่ไม่ระวังเลยน่อ ดูสิได้ใบเหลืองอีกใบแล้ว” เหมยฮัวส่ายหน้าอย่างเอือมระอา

“แล้วใครกันขอรับที่โดนแจกใบเหลืองเป็นคนแรก” ฮอรัสแซวกลับ

“กรี๊ด ! กียุลสู้ ๆ ค่า”

“คุณคริสโตเฟอร์นี่ฟอร์มเจ๋งมากเลยนะครับ”

“ซาเนียน่านี่ยอดไปเลย”

“องค์หญิงมิเอเล่นี่เก่งจัง”

“คุณโรซารี่ขา อย่ายอมแพ้เขานะค้า”

บรรดาเจ้าหญิงและเจ้าชายต่างส่งเสียงเชียร์ฟุตบอลกันอย่างสนุกสนาน แต่มีอยู่คนหนึ่งที่ไม่ได้รู้สึกสนุกตามไปด้วย

“อ้าว! ทิวาทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะลูก ฟุตบอลไม่สนุกเหรอ?” ไอริณหันไปถามลูกสาวจอมแก่นของเธอ

“มันก็ไม่เชิงหรอกค่ะ แต่ที่เซ็งก็คือ หนูไม่ได้มีโอกาสร่วมเล่นกับพวกเพื่อน ๆ ด้วยน่ะสิคะ ทั้ง ๆ ที่หนูก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกเพื่อน ๆ สักเท่าไหร่เลย วิ่งก็เร็ว ปีนต้นไม้ก็เก่ง กระโดดได้อย่างกับจิงโจ้ แถมยังสามารถใช้ปากรับลูกบอลได้อีกนะคะ แล้วทำไมหนูไม่ได้ร่วมทีมกับเขาล่ะ ตัวสำรองก็ไม่ได้เป็น” ทิวาบ่นพลางทำหน้าเซ็ง ๆ

เอ่อ ! ความสามารถแบบนั้นมัน ไอริณรีบเปลี่ยนไปคิดเรื่องอื่นทันที

“จะให้ช่วยงานในสนามฟุตบอล ครูก็บอกว่าหนูไม่รู้จักกติกาฟุตบอลดี จะให้ช่วยดูแลนักฟุตบอลก็ยังไม่ได้ ขนาดราตรียังได้ช่วยงานเป็นเด็กแจกน้ำให้คนดูในอัฒจรรย์เลย” ทิวาพยักหน้าไปทางราตรีที่กำลังแจกน้ำให้นักเรียนและผู้ปกครองที่มาชมการแข่งขัน

“อย่าน้อยใจไปเลยทิวา ไม่มีใครสมหวังทุกเรื่องหรอกจ๊ะ มาดูฟุตบอลให้สนุกกันดีกว่า ลูกจะได้เชียร์กียุลให้เต็มที่ไงล่ะจ๊ะ”

“ทำไมหนูต้องเชียร์ตาตี๋แว่นนั่นด้วยล่ะ”

“ก็กียุลน่ะคอยช่วยเหลือลูกอยู่หลายครั้งไม่ใช่เหรอ ทั้งช่วยสอนเต้นรำให้จนลูกสอบผ่าน คอยช่วยฝ่าฟันอุปสรรคตอนที่จะต้องแข่งกับพวกแก๊งฟักทอง ตอนที่ลูกร้องไห้เขาก็เป็นคนแรกที่ช่วยพาลูกไปหาเพื่อน ๆ และ...”

“พอเถอะค่ะคุณแม่ หนูไม่ได้...” ยังไม่ทันจบประโยคไอริณก็ยื่นนิ้วชี้ไปปิดปากลูกสาวของเธอ

“ลูกทำตัวเป็นคนปากไม่ตรงกับใจเลยนะ แม่รู้ว่าลูกน่ะ....”

“คุณแม่ขา อย่าพูดออกมานะคะ!” ทิวาเริ่มหน้าแดงเสียแล้ว

“จุ๊ ! จุ๊ ! เบาเบา” ไอริณรีบเตือนทันทีที่ทิวาเริ่มแหกปาก

“ขอโทษค่ะคุณแม่”

“ไม่เป็นไรจ๊ะ ทีหลังอย่าเสียงดังนะลูก เป็นการรบกวนคนอื่นเขา”

“ค่ะ”

“แล้วนี่เราจะต้องรออีกนานไหมคะ หนูหิวแล้ว”

“เพิ่งแข่งไปได้ยี่สิบนาทีเองนะลูก อดทนหน่อยก็แล้วกัน เดี๋ยวพักครึ่งแม่พาไปกินที่ร้านอาหาร อร่อยเสมอก็แล้วกันนะ”

“เย้!

“ลูกคิดว่าทีมไหนจะชนะล่ะจ๊ะ”

“เอ ! หนูก็ไม่รู้เหมือนกันนะคะ” ทิวาทำหน้าครุ่นคิด

“ทุกคนเก่งกันหมดเลย แต่ทีม B ได้ลูกก่อน ทีม B ก็น่าจะชนะ แต่ถ้าทีม A ได้ลูกตีเสมอ ก็อาจจะเสมอกัน หรือว่าทีม A อาจจะชนะก็ได้น่ะค่ะ แฮะ แฮะ”

“สรุปก็คือลูกไม่แน่ใจว่าทีมไหนจะชนะสินะ” ไอริณยิ้ม “แต่นั่นไม่สำคัญหรอกนะ เพราะว่าสิ่งที่สำคัญก็คือ นักฟุตบอลทุกคนได้แข่งขันกันอย่างเต็มความสามารถของตนโดยไม่ยอมถอดใจก่อน” ไอริณกล่าวพลางมองลงไปยังสนามฟุตบอล ทิวาเองก็มองไปยังสนามฟุตบอลที่ซึ่งเพื่อน ๆ ทุกคนของเธอกำลังแสดงความสามารถกันอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกียุล

“เรื่องสำคัญอีกอย่างก็คือหลังจบการแข่งขันแล้ว ไม่ว่าทีมไหนจะแพ้หรือชนะก็ตาม นักฟุตบอลทุกคนก็จะยอมรับในผลการแข่งขันนั้น ทุกคนจะแสดงความมีน้ำใจเป็นนักกีฬาต่อกัน และก็จะเป็นเพื่อนกัน ก็เหมือนกับที่ในเนื้อเพลงกราวกีฬาท่อนที่ว่า  กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ แก้กองกิเลส ทำคนให้เป็นคน  อืม ทิวารู้ไหมว่าใครเป็นคนแต่งเพลงกราวกีฬา”

“เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีเป็นผู้ประพันธ์เนื้อร้อง ส่วนนารถ ถาวรบุตร เป็นคนประพันธ์ทำนองค่ะ คุณแม่”  []

“เก่งมากลูก ทีนี้พอแข่งจบแล้วทั้งนักฟุตบอลและคนดูก็จะร้องเพลงเพลงหนึ่ง เพลงนั้นมีชื่อว่าอะไรจ๊ะ?”

“สามัคคีชุมนุมค่ะ” ทิวา

“ที่ลูกพูดมาก็ถูกอยู่นะ แต่อย่าลืมว่าเราไม่ได้อยู่ในประเทศไทย เพลงสามัคคีชุมนุมที่พวกเราร้องกันหลังจบการแข่งขันกีฬา มีที่มาจากเพลง ออลด์แลงไซน์" (Auld Lang Syne) ซึ่งมาจากบทกวีสกอตแลนด์ ที่เขียนขึ้นโดยโรเบิร์ต เบิร์นส ในปี ค.ศ. ๑๗๘๘ เพลงนี้มีชื่อเสียงเป็นรู้จักกันทั่วโลกเลยนะ เพียงแต่ในประเทศอื่น มักจะร้องเพลงนี้กันในพิธีฉลองการเริ่มต้นปีใหม่ นอกจากนี้ยังใช้ร้องในงานศพ พิธีสำเร็จการศึกษา และการร่ำลาอีกด้วยนะ” []

“จริงหรือคะ หนูไม่เคยเห็นรู้มาก่อนเลย”

“ตอนนี้ก็รู้แล้วนะ คราวหลังก็ตอบให้ถูกต้องครบถ้วนล่ะ เอ้า ! อีกคำถามหนึ่งก็แล้วกัน ลูกรู้ไหมว่าฟุตบอลโลกจัดขึ้นครั้งแรกในปีอะไร และทีมชาติใดได้เป็นแชมป์โลกในปีนั้น ทีมชาติอะไรได้แชมป์มากที่สุด กี่สมัย และได้ในปีไหนบ้าง ถ้าตอบถูก แม่เลี้ยงไอศกรีมซันเดย์ให้ลูกสามมื้อเลย”

“โห คุณแม่ยังกับคำถามสุดยอดแฟนพันธุ์แท้เลย หนูรู้แค่เพียงว่าบราซิลได้แชมป์มากที่สุด คือ ๕ สมัย เท่านั้น ที่เหลือหนูไม่รู้หรอกค่ะ”

“เฉลยนะ ฟุตบอลโลกจัดขึ้นครั้งแรกในปี คริสตศักราช ๑๙๓๐ ทีมที่ได้เป็นแชมป์ฟุตบอลโลกในคราวนั้นก็คือ ทีมชาติอุรุกวัย ซึ่งเป็นชาติเจ้าภาพการแข่งขัน ทีมชาติบราซิลคว้าแชมป์ในปี ค.ศ. ๑๙๕๘ ๑๙๖๒ ๑๙๗๐ ๑๙๙๔ และ ๒๐๐๒” []

“แบบนี้หนูก็อดกินไอศกรีมซันเดย์สิ”

“ไม่เป็นไรจ๊ะเพราะแม่จะซื้อชีสเค้กให้ลูกกินแทนก็แล้วกัน ที่ตอบคำถามได้บางส่วน”

“จริงหรือคะคุณแม่”

“จ้า” ไอริณยิ้มให้ลูกสาวของเธอ

“คุณแม่ใจดีที่สุดเลย” ทิวาโผเข้ากอดไอริณ ซึ่งไอริณก็กอดตอบ ทั้งคู่ดูฟุตบอลจนจบครึ่งแรก แล้วค่อยออกมาจากสนามกีฬาเพื่อไปร้านอาหารอร่อยเสมอ และที่หน้าประตูทางออกของสนามกีฬานั่นเอง ไอริณก็เหลือบไปเห็นพ่อลูกคู่หนึ่งเข้า

“ทิวา เห็นพ่อลูกคู่นั้นไหม?” ทิวามองไปยังพ่อลูกคู่หนึ่งที่ยืนอยู่ด้านซ้ายมือของพวกเธอ

“เห็นค่ะ ทำไมหรือคะ?” ทิวาถามด้วยความซื่อ

“คือ อย่างนี้นะทิวา ความจริงแล้วที่แม่มาหาลูก นอกจากเรื่องการแข่งขันฟุตบอลแล้วยังมีอีกเรื่อง คือ ซุบซิบ ซุบซิบ ...” ไอริณกระซิบบอกข้างหูทิวา

“หา! จริงหรือคะ” ทิวาร้องเสียงดังจนคนแถวนั้นหันมามอง

“ชู่ว ! เบา เบา ลูก”

“ถ้าอย่างนั้นเอาไงดีคะคุณแม่” ทิวาลดเสียงพูดลง

“คือ แม่มีเรื่องขอร้องให้ลูกช่วยหน่อยนะ” ไอริณกระซิบข้างหูลูกสาวของเธออีกครั้ง

“ตกลงค่ะ ไว้ใจหนูได้เลย” ทิวาตอบอย่างมุ่งมั่น


โปรดติดตามตอนต่อไป

อ้างอิง

[๑]

http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B8%AC%E0%B8%B2

[๒]

http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%8B%E0%B8%99%E0%B9%8

และ

http://en.wikipedia.org/wiki/Auld_Lang_Syne#Uses


[๓]

http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9F%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81

ผลการแข่งขัน

ทีมที่ติด 4 อันดับแรก

วันจันทร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

แบบอย่างจากพระพุทธเจ้า (๓) : การปลูกฝังความคิดที่ถูกต้อง



    สังคมใดจะดำเนินไปทางไหนย่อมขึ้นอยู่กับการปลูกฝังความคิดและพฤติกรรมให้กับผู้คนในสังคมนั้น ๆ หากปลูกฝังไปในทางที่เป็นประโยชน์แล้ว คนในสังคมนั้นก็ย่อมเป็นคนที่มีคุณภาพ และบำเพ็ญประโยชน์ให้กับตนและส่วนรวม แต่หากปลูกฝังสิ่งที่ผิดลงไปแล้ว ย่อมทำให้คนในสังคมนั้น ๆ ประพฤติแต่สิ่งที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนเสียหาย เป็นอันตรายต่อชาวโลกได้ 

     ในสมัยอาณาจักรโรมันเรืองอำนาจ มีการสร้างสนามกีฬาให้พลเมืองโรมันได้ดูเหล่า Gladiator (๑) ที่ต่อสู้กันเอง หรือต่อสู้กับสัตว์ดุร้ายจนถึงตาย อันเป็นการปลูกฝังให้คนโรมันสนุกสนานกับการฆ่าการทำลายชีวิตของบุคคลอื่นและสัตว์อื่น และยังเป็นการทำให้คนโรมันมัวเมากับความบันเทิงที่ไม่เกิดประโยชน์อันใดแก่สังคมเลย เช่นเดียวกับประเพณีการบูชายัญในหลายวัฒนธรรมของโลก (๒)
ก็เป็นการกระทำที่โหดร้ายและเป็นการปลูกฝังให้คนในสังคมนั้น ๆ ยึดติดอยู่กับประเพณีที่ผิดศีลธรรม

     ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ชนชาวญี่ปุ่นและเยอรมันถูกปลูกฝังแนวคิดที่ว่าชนชาติตนเหนือกว่าชนชาติอื่นจนนำไปสู่การทำลายล้างและการทำสงครามกับชนชาติอื่นจนเกิดความเสียหายนานัปการ และในสมัยสงครามเย็น ทั้งฝ่ายคอมมิวนิสม์และฝ่ายต่อต้านคอมมิวนิสม์ก็ปลูกฝังให้เกลียดชังอีกฝ่ายจนนำไปสู่สงครามที่มีคนตายนับล้าน

     สื่อมวลชนในบางประเทศเผยแพร่แต่ Hate speech ยุให้คนในสังคมนั้น ๆ ใช้กำลังความรุนแรงต่อผู้เห็นต่างทางการเมือง ให้ใช้วิธีการรุนแรงโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ฉายละครที่เต็มไปด้วยการใช้ความรุนแรง มีแต่โฆษณาที่เน้นการบริโภคขนม น้ำอัดลมเต็มไปหมด แบ่งหน้าหนังสือพิมพ์ให้กับการประกาศผลสลากกินแบ่งรัฐบาล ข่าวดารา ข่าวอาชญากรรม ปล่อยให้มีหนังสือประเภทสแกนกรรม ดีลีทกรรม เป็นการสอนให้ผู้คนนิยมความรุนแรง และลุ่มหลงกับการบริโภคที่เกินขนาด และยังงมงายกับเรื่องประเภทดูดวงอีกด้วย

    การปลูกฝังที่กล่าวมาข้างต้นเป็นการปลูกฝังในสิ่งที่ผิดต่อศีลธรรม นำมาซึ่งความวิบัติทั้งสิ้น
ดังนั้น จึงต้องแก้ไขด้วยการปลูกฝังความคิดที่ถูกต้อง ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านได้ทรงสั่งสอนศีลธรรมและปลูกฝังแนวคิดที่ถูกต้องให้กับผู้คนในสังคม ดังตัวอย่างต่อไปนี้ (๓)

         ๑.เทวธรรม ศีล ๕ และฆราวาสธรรม เพื่อให้คนในสังคมอยู่กันอย่างสันติ ไม่ละเมิดสิทธิ
ผู้อื่น ไม่ทำลายชีวิต ชื่อเสียง และทรัพย์สินของทั้งตนเองและผู้อื่น สอนให้เป็นคนซื่อสัตย์ ไม่คดโกง รู้จักอดทน รู้จักยับยั้งชั่งใจก่อนที่จะกระทำสิ่งที่เป็นความผิดลงไป มีความละอายและเกรงกลัวต่อบาป

         ๒.พรหมวิหารธรรมและสังคหวัตถุธรรม สอนให้คนรู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ถ้อยทีถ้อยอาศัย ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความรักและเมตตา รู้จักยินดี ไม่อิจฉาริษยา ไม่พูดจาก้าวร้าว

         ๓.ทิศ ๖ และสัปปุริสธรรม ปลูกฝังให้คนประพฤติปฏิบัติตนต่อผู้อื่นในสังคมได้อย่าง
ถูกต้องเหมาะสมตามฐานะของตน

         ๔.กาลามสูตร สอนให้คนรู้จักใช้เหตุผลและวิจารณญาณก่อนที่จะเชื่ออะไร เป็นการปลูกฝังไม่ให้เป็นคนหูเบา

         ๕.อคติสี่ ทศพิธราชธรรม เป็นการปลูกฝังให้ผู้ที่ดำรงตำแหน่งในด้านการเมืองการปกครองและการบริหาร ตลอดจนผู้ที่ทำหน้าที่ผู้พิพากษา ให้ประพฤติตนเพื่อประโยชน์ของประชาชน
ด้วยการเป็นผู้เสียสละ อดทน ตั้งมั่นอยู่ในความถูกต้อง รักษาความยุติธรรม ไม่ลำเอียง ไม่เอาแต่ใจ ไม่รุกรานผู้อื่น

         ๖.ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ เป็นการปลูกฝังให้คนในสังคมรู้จักใช้ชีวิตอย่างพอประมาณ ไม่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ไม่เกียจคร้าน

   
   ยังมีหลักธรรมอีกหลายข้อที่พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงไว้ ซึ่งผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตามย่อมได้รับประโยชน์และสังคมก็ได้ประโยชน์อีกด้วย เป็นการปลูกฝังความคิดและความประพฤติที่ถูกต้องให้กับผู้คนในสังคม ให้ละเว้นความชั่วทั้งปวง ทำแต่ความดี และทำจิตใจให้ผ่องใส ในฐานะชาวพุทธเราควรดำเนินรอยตามองค์สมเด็จพระบรมศาสดาด้วยการปลูกฝังความคิดและพฤติกรรมที่ถูกต้องตามหลัก
ศีลธรรม ประพฤติแต่สิ่งที่ดีงาม เป็นแบบอย่างให้กับบุคคลอื่นได้ดำเนินรอยตาม และแนะนำพร่ำสอนรุ่นน้อง รุ่นลูก รุ่นหลานของเราในเรื่องของศีลธรรมและความถูกต้อง สร้างและถ่ายทอดละคร เพลง ภาพยนตร์ วรรณกรรมที่มีเนื้อหาในการส่งเสริมศีลธรรม ระเบียบวินัย ความรักใคร่สามัคคี
ความยุติธรรม ความรักชาติและเพื่อนมนุษย์ การแสวงหาความรู้ ความเสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ความอดทน ความขยันขันแข็งรู้จักอดออม การลด ละ เลิก อบายมุข และความเท่าเทียมกัน ดังนี้ จึงจะได้ชื่อว่าเป็นชาวพุทธซึ่งทำประโยชน์ให้กับสังคมโลก
       

       อ้างอิง

(๑) อ่านเรื่องของ Gladiator ได้ที่ http://en.wikipedia.org/wiki/Gladiator

(๒) ดูเรื่องการบูชายัญได้ที่ http://writer.dek-d.com/cammy/story/viewlongc.php?id=486572&chapter=513

(๓) สามารถค้นคว้ารายละเอียดเกี่ยวกับหลักพุทธธรรมที่ยกมานี้ได้หลายทาง ทั้งทางเว็บไซต์อย่างวิกีพีเดียภาคภาษาไทย http://www.learntripitaka.com/scruple/thit6.htm ฟังการบรรยายธรรม ศึกษาจากพระไตรปิฎก ฯลฯ


         


วันพุธที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2557

แบบอย่างจากพระพุทธเจ้า (๒) : การระงับสงคราม


        สถานการณ์ของโลกนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันล้วนเต็มไปด้วยสงครามและความขัดแย้ง ซึ่งก่อให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินเกินกว่าจะประมาณได้ หากชนชาวโลกยังคงไม่ตั้งมั่นอยู่ในธรรมะและไม่หาวิธีระงับยับยั้งการสงครามแล้ว หายนะจะบังเกิดกับทุกคนบนโลกใบนี้

แล้วเราจะป้องกันการเกิดสงครามได้อย่างไร ลองมาดูตัวอย่างจากพุทธประวัติกันครับ

        องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นแบบอย่างที่ดีในการระงับยับยั้งการสงคราม เริ่มตั้งแต่ที่พระองค์ปฏิเสธการขึ้นครองราชย์เพื่อเป็นพระเจ้าจักรพรรดิโดยการเสด็จออกผนวช ดังนั้น พระองค์จึงหลีกเลี่ยงฐานะที่จะก่อสงครามเพื่อปราบปรามอริราชศัตรู หรือเพื่อการแผ่ขยายอำนาจออกไปได้

        เมื่อพระญาติของพระองค์กำลังจะทำสงครามแย่งชิงน้ำจากแม่น้ำโรหิณี ก็ทรงเข้าไปห้ามทัพทั้งสองฝ่ายเสีย และให้ถ้อยคำเตือนสติจนทั้งสองฝ่ายระงับการก่อสงครามเสียได้

        เมื่อพระเจ้าวิฑูฑภะจะยกทัพไปฆ่าล้างโคตรศากยะวงศ์ พระพุทธองค์ก็เสด็จไปห้ามทัพเสีย แม้จะไม่สำเร็จก็ตาม

      ครั้นเมื่อเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว เมื่อจะเกิดการทำสงครามเพื่อแย่งชิงพระบรมสารีริกธาตุ ก็ได้โทณพราหมณ์ช่วยแบ่งพระบรมสารีริกธาตุให้ เป็นการป้องกันการเกิดสงครามได้


นอกจากนี้แล้ว คำสั่งสอนของพระพุทธองค์ก็ล้วนแล้วแต่ส่งเสริมให้เกิดสังคมแห่งสันติสุขทั้งสิ้น


จากสถานการณ์ในปัจจุบันที่เกิดความขัดแย้งกันในสังคมไทยและในส่วนต่าง ๆ ของโลก เราสามารถนำหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามาเพื่อระงับการเกิดสงครามได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของศีลห้า กุศลกรรมบถ เป็นต้น ในที่นี้ขอยกตัวอย่างสังคหวัตถุธรรม (ทาน ปิยวาจา อัตถจริยา สมานัตตา) ซึ่งเป็นหลักธรรมเพื่อการสงเคราะห์ ผูกไมตรีกันไว้

กล่าวคือ ในส่วนของทานนั้น ถ้ารัฐบาลและประชาชนของประเทศต่าง ๆ รู้จักแบ่งปันทรัพยากรธรรมชาติอย่างเท่าเทียมกัน ก็จะไม่เกิดปัญหาอย่างการแย่งชิงดินแดน หรือชิงหมู่เกาะ หรือน่านน้ำกัน (อย่างกรณีของจีนกับญี่ปุ่น จีนกับเวียดนาม จีนกับฟิลิปปินส์)

หรือถ้ารู้จักให้อภัย (อภัยทาน) แล้ว ชนชาติที่เป็นศัตรูกันมาอย่างยาวนาน อย่างยิวกับอาหรับ สหรัฐอเมริกากับรัสเซีย ยิวกับอิหร่าน ฯลฯ ก็จะรู้จักยุติความบาดหมางที่มาอย่างยาวนาน และหันมาจับมือร่วมใจกันแก้ไขปัญหาข้อพิพาทกันได้

และการให้ธรรมะเป็นทานก็จะทำให้คนได้ตระหนักรู้ว่า การทำสงคราม ไม่ว่าจะอ้างเหตุอย่างใด (ยกเว้นเพื่อป้องกันชาติของตน) ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ผิด ดังนั้น ความคิดในการทำสงครามจึงเป็นมิจฉาทิฏฐิ

สำหรับปิยวาจานั้น ก็เป็นการป้องกันไม่ให้เกิดความบาดหมาง ความขัดแย้งกันในระหว่างชนชาติต่าง ๆ หรือในระหว่างชนชาติเดียวกัน เพราะคงไม่มีใครชอบคนพูดโกหก พูดส่อเสียด ยั่วยุ พูดจาก้าวร้าวหยาบคาย

และอย่าลืมการปฏิบัติตามหลักอัตถจริยาและสมานัตตา ด้วย จึงจะสมบูรณ์

ดังนี้ เป็นต้น


        ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งสันติ และชาวพุทธก็เป็นผู้รักสงบ ดังนั้น คนที่เป็นชาวพุทธทุกคนจึงควรเป็นผู้เชื่อมั่นในสันติวิธี และควร (อย่างยิ่ง) ที่จะมีบทบาทในการเผยแพร่สันติวิธีออกไปให้ชาวโลกรับรู้ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ต้องเกิดการสูญเสียขึ้นมาในสังคมโลกอีก หวังเป็นอย่างยิ่งว่าชาวไทยคงนำหลักธรรมนี้ไปใช้แก้ไขปัญหาบ้านเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้นะครับ


อ้างอิง

[๑] http://www.gotoknow.org/posts/243664

[๒] http://th.wikipedia.org/wiki/พระบรมสารีริกธาตุ

[๓] http://www.learntripitaka.com/scruple/sank4.html

วันพุธที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

แบบอย่างจากพระพุทธเจ้า (๑) : ทางสายกลาง



แม้ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพานไปนานแล้ว แต่ชาวพุทธยังคงระลึกถึงพระองค์อยู่ เนื่องจากคุณงามความดีทั้งหลายที่พระองค์ได้ประพฤติเป็นแบบอย่างให้กับชาวโลก ซึ่งผมเห็นว่าพระบรมศาสดามีแบบอย่างที่สามารถนำมาใช้กับสังคมไทยและสังคมโลกปัจจุบัน ๓ เรื่อง

เรื่องแรก คือ ทางสายกลาง เรื่องต่อมา คือ การระงับสงคราม และเรื่องที่สาม คือ การปลูกฝังสิ่งที่ถูกต้องเป็นประโยชน์ต่อชนชาวโลก

มาพูดถึงเรื่องแรกกันก่อน จากการศึกษาพุทธประวัติจะเห็นได้ว่า ก่อนการตรัสรู้นั้นเจ้าชายสิทธัตถะได้ทรงผ่านการใช้ชีวิตในแนวทางสุดโต่งสองสายมาแล้ว คือ กามสุขัลลิกานุโยค และ อัตตกิลมถานุโยค ซึ่งทั้งสองทางไม่ทำให้พ้นจากทุกข์ได้ จนเมื่อพระองค์หันมาปฏิบัติตามหลักมัชฌิมาปฏิปทา (ทางสายกลาง) แล้วจึงได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า [๑]

ถึงแม้ว่าเรื่องทางสายกลางนี้จะเป็นเรื่องแนวทางปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์ แต่เราก็สามารถอนุโลมหลักการมาปรับใช้ในเรื่องทางโลกได้ทั้งในระดับบุคคล และระดับสังคม

๑) ในระดับบุคคลนั้น ให้บุคคลใช้ชีวิตอย่างพอเหมาะพอดีกับสถานภาพของตนเอง กล่าวคือ

-ไม่ใช้ชีวิตแบบหรูหรา บำรุงบำเรอตนเองมากจนเกินไป หรือใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เกียจคร้าน และ

-ไม่หักโหมทำงานการหรือเคร่งครัดในการดำรงชีวิตจนเกินไป

๒) ในระดับสังคมนั้น ก็คือ การบริหารจัดการสังคมนั้นให้มีความพอเหมาะพอดี กล่าวคือ

-ไม่ปล่อยให้คนในสังคมมีเสรีภาพมากจนเกินขอบเขต คิดจะทำอะไรก็ได้ จนทำให้คนไม่เคารพกฎหมายและระเบียบกฎเกณฑ์ กลายเป็นคนไร้ระเบียบวินัย

-ไม่ตัดรอนเสรีภาพของประชาชนโดยอาศัยอำนาจกฎหมาย จนกลายเป็นการปกครองด้วยอำนาจเผด็จการ ทำให้คนในสังคมไร้สิทธิเสรีภาพ

-ไม่ส่งเสริมการพัฒนาทางด้านวัตถุและการค้ามากจนเกินไปจนทำลายธรรมชาติและวัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม

-ไม่ปล่อยปละละเลยในด้านการสาธารณูปโภคหรือด้านการค้าจนสังคมยากจนและไม่พัฒนา

เป็นต้น

เมื่อเราลองมองดูประเทศต่าง ๆ ในสังคมโลกแล้วจะพบว่า บางประเทศให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนอย่างมาก ในขณะที่บางประเทศกลับมีรูปแบบการปกครองและศาสนาที่ค่อนข้างเคร่งครัดจนกลายเป็นความสุดโต่ง ถ่วงความเจริญก้าวหน้าของสังคมนั้น [๒] สังคมทั้งสองรูปแบบล้วนมีข้อบกพร่องทั้งสิ้น

ดังนั้น เพื่อจะสร้างสังคมที่มีความสมดุลจึงสมควรเผยแพร่และสนับสนุนให้คนในสังคมไทยและสังคมโลกยึดถือแนวทางสายกลางในการดำรงชีวิตและสนับสนุนผู้ปกครองในสังคมให้ใช้ทางสายกลางในการกำหนดนโยบายและบริหารจัดการประเทศ เพื่อประโยชน์และความผาสุกของชนชาวโลกสืบไป

[๑] ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.learntripitaka.com/History/Buddhist.html

[๒] ส่วนสังคมไทยดูเหมือนจะผสมผสานความสุดโต่งทั้งสองเอาไว้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ กล่าวคือ คนในสังคมสามารถทำอะไรก็ได้ในแม้จะเป็นการละเมิดกฎหมายหรือละเมิดสิทธิของคนอื่น แต่ในบางเรื่อง (โดยเฉพาะที่ไปกระทบต่อคนชั้นสูงหรือระบบราชการ) กลับจะต้องถูกสกัดยับยั้งไม่ให้มีส่วนร่วม หรือมีเสรีภาพในเรื่องดังกล่าว

วันเสาร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

แคทเทิน ตอนที่ ๑ : ของขวัญ


      “ขอโทษค่ะ ไม่สามารถติดต่อเลขหมายปลายทางได้ในขณะนี้ Sorry it is…”
แกร็ก!  หญิงวัย ๕๐ ปี วางหูโทรศัพท์บ้านลง ก่อนที่จะยกมันขึ้นมาอีกครั้ง และกดหมายเลขโทรศัพท์ลงไป

๐๘๖ xxxxxxx และก็ได้รับคำตอบเดิม เธอถอนหายใจอย่างแรงแล้ววางหูโทรศัพท์ลงไปแล้วยกมันขึ้นอีกครั้ง

“นี่แม่ ! เลิกโทรสักทีได้ไหม” ชายวัย ๕๕ ปี ที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่เอ่ยขึ้นมา

“จะไม่ให้โทรได้ยังไงล่ะพ่อ ก็ลูกไม่ยอมรับสายเลยนี่นา”

“คนกำลังดูหนังอยู่จะให้เปิดโทรศัพท์ได้ยังไงกันล่ะ” 

“ดึกขนาดนี้เนี่ยนะพ่อ” ผู้ที่เป็นแม่หันไปมองนาฬิกาแขวนที่อยู่บนฝาผนังบ้าน ซึ่งตอนนี้เข็มสั้นของนาฬิกานั้นชี้ที่เลข ๑๐ ส่วนเข็มยาวชี้ที่เลข ๙ 

“หนังมันก็มีฉายอยู่หลายรอบนี่แม่ ลูกของเราก็คงเลือกดูรอบดึกล่ะมั้ง อีกอย่างทราบมาว่าหนังเรื่องนี้ยาวตั้ง ๓ ชั่วโมง”

“แล้วเมื่อไหร่กล้าจะกลับบ้านซะทีล่ะคุณ กล้าไม่เคยกลับดึกขนาดนี้เลยนะ”

“อย่ากังวลไปเลย พรุ่งนี้ก็วันเสาร์แล้ว และเจ้ากล้าก็ไม่ต้องไปเรียนพิเศษที่ไหนนี่”

“คุณไม่ห่วงลูกบ้างเหรอคะ ช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ดีมีจี้ปล้นกันรายวัน”

“กล้ามันไปดูหนังกับเพื่อน เดี๋ยวเพื่อนก็คงมาส่งให้ถึงบ้านนั่นแหละ อีกอย่างกล้ามันก็เคยเรียนมวยไทยมาบ้าง ไม่ต้องห่วงหรอก” ผู้เป็นสามีกล่าวอย่างสบายอารมณ์

“กลับมาถึงบ้านเมื่อไหร่ต้องว่ากล่าวเอาเสียบ้างแล้ว” ผู้เป็นภรรยาเปรยขึ้น

“เฮ้อ ! คุณนี่นะ” สามีส่ายหน้าก่อนจะหันกลับไปดูข่าวต่อ

“ผู้แทนรัฐบาลสหรัฐอเมริกาประจำสหประชาชาติกล่าวยืนยันว่าทางการสหรัฐฯ จะไม่ยอมให้ทางฝ่ายรัสเซียกระทำการใดที่เป็นการล่วงล้ำ...”

“เดี๋ยวนี้ โลกเรามีความขัดแย้งเพิ่มมากขึ้นทุกทีนะ พ่อละเป็นห่วงว่าประเทศไทยจะได้รับผลกระทบอะไรจากความขัดแย้งบ้างหรือเปล่า” สามีเปรยขึ้น

“แหม ! ทำเป็นห่วงโลก ทีลูกตัวเองละไม่เป็นห่วง” ภรรยาแขวะเข้าให้ แต่สามีทำเป็นหูทวนลมเสีย

เวลาผ่านไปจนถึง ๒๓.๐๒ น. แล้ว ก็ยังไม่มีวี่แววว่าลูกจะกลับมาเลย ผู้เป็นแม่จึงได้โทรศัพท์อีกครั้ง แต่ก็ยังคงไม่สามารถติดต่อผู้เป็นลูกได้แต่อย่างใด ทำให้เกิดความรู้สึกเป็นห่วงลูกมากขึ้นกว่าเดิม เกรงว่าลูกจะประสบเหตุร้าย ซึ่งสัญชาตญาณของผู้เป็นแม่นับว่าถูกต้อง เพราะว่า

“โทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุดเสียด้วย” ชายฉกรรจ์ไว้หนวดเคราคนหนึ่งหยิบโทรศัพท์มือถือของกล้าขึ้นดู ก่อนจะหย่อนลงไปในกระเป๋าเสื้อของตน
  ชายอีกคนควักเอากระเป๋าสตางค์ของกล้าขึ้นมาแล้วหยิบเอาเงินในกระเป๋าไปจนเกลี้ยง ขว้างบัตรประชาชนและบัตรนักเรียนของกล้าทิ้งไป ก่อนที่จะหยิบกระเป๋าสะพายของกล้าขึ้นมาเพื่อค้นหาสิ่งของมีค่า
   ยังมีชายอีกคนใช้มีดจี้ที่เอวของกล้าไว้ ไม่ให้ขัดขืน

‘บ้าที่สุด เดินเข้าซอยมาตลอดไม่เคยเจอผู้ร้าย วันนี้เกิดดวงซวยขึ้นมาเสียได้’ กล้าคิดในใจอย่างคับแค้น เขาไม่สามารถทำอะไรคนเหล่านี้ได้เลย

‘รู้แบบนี้ให้เพื่อนมาส่งที่บ้านก็ดี ไม่สิ! ถ้าทำอย่างนั้นเพื่อนของเขาก็ต้องรับเคราะห์ไปด้วย คนร้ายมีกันตั้งสามคน แถมมีอาวุธอีกด้วย’

เดิมทีหลังจากออกจากเมเจอร์ซีนีเพล็กซ์รัชโยธินแล้ว ‘เพลิง’ เพื่อนของกล้าอาสาจะเดินมาส่งกล้าให้ถึงที่บ้าน แต่เขาปฏิเสธไป เพราะว่าบ้านของเขาไม่ได้อยู่ไกลจากโรงภาพยนตร์เท่าไรนัก แล้วเขาก็แยกทางกัน เขามีความสุขจากการได้ดูภาพยนตร์เรื่องเยี่ยมกับเพื่อน แต่พอเข้าซอยรัชโยธิน ๓๓ มาได้ไม่นานนัก เขาก็ถูกคนร้ายดักปล้นเขานี่แหลละ

“ในกระเป๋านี่ไม่มีอะไรแล้วว่ะ ไปกันเถอะ” ชายคนที่รื้อค้นกระเป๋าสะพายของกล้าพูดขึ้นมา

“แล้วจะทำยังไงกับไอ้เด็กนี่?” ชายคนที่ใช้มีดจี้ที่เอวของกล้าถาม

“ปล่อยไปเราแย่แน่ จัดการมันซะ” ชายคนที่เอาโทรศัพท์มือถือของกล้าไปสั่งการ

‘แย่แล้ว! ทำไงดี’ กล้าคิดหาทางเอาตัวรอด

“ขอโทษทีนะไอ้หนูวันนี้ดวงแกถึงฆาตแล้ว” ชายคนที่ใช้มีดจี้ที่เอวกล่าว


“สมุดบัญชี!” กล้าตะโกนขึ้นมา

“เงียบ! เมื่อกี้ว่ายังไงนะ” ชายคนที่ถือมีดกล่าว

“ผมจะบอกสมุดหมายเลขสมุดบัญชีเงินฝากให้” กล้าบอก “แต่พวกคุณต้องปล่อยผมก่อน”

“ปล่อยไปให้ไปแจ้งตำรวจเรอะ อย่าหวังซะให้ยากเลย ยังไงแกก็ต้องบอกหมายเลขสมุดบัญชีมาให้พวกกูรู้” ชายคนที่เอาโทรศัพท์มือถือของเขาไปยื่นหน้าเข้ามาใกล้ 

 “ หนึ่ง สอง ..” กล้าพูด

“พูดใหม่ซิ” ชายคนนั้นยื่นหน้าเข้ามาใกล้อีก

“สาม!” ตะโกนเสร็จ กล้าก็ใช้ศอกของตัวเองกระแทกไปที่ชายโครงของชายที่ยืนอยู่ด้านหลังอย่างแรง พร้อมกับที่ใช้เท้าซ้ายเตะเสยไปที่ปลายคางของคนที่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้เขา พอพวกโจรเสียจังหวะ กล้าก็รีบวิ่งไปทันที แต่ก็ไม่ทัน เพราะถูกชายคนที่สามรวบตัวไว้ได้ทันควัน

“โอ๊ย ! ไอ้เด็กเวร ฤทธิ์มากนักใช่มั๊ย” 

สวบ! เสียงมีดแทงเข้าที่สีข้างของเด็กหนุ่มวัย ๑๕ ปี

“อึ๊ก!” เป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดอย่างเหลือที่จะพรรณนา เด็กหนุ่มทรุดตัวลงทันที 

“ช่วยไม่ได้โว๊ย รนหาเรื่องเอง” โจรคนที่ถูกเตะปลายคางใช้เท้าเตะเข้าไปที่สีข้างของกล้าข้างที่ถูกแทง

กล้านอนบิดตัวไปมาด้วยความเจ็บปวดอย่างยิ่ง

“ฆ่ามันได้แล้ว” หัวหน้าโจรสั่งการ

นี่เขาจะต้องตายแบบนี้จริง ๆ เหรอเนี่ย

“พวกเราหยุดสู้กันก่อนดีไหม”

“ว่าไงนะ!” หัวหน้าโจรตะโกนถาม

สายลมพัดมาวูบหนึ่ง แล้วก็เหมือนกับมีอะไรที่ทั้งหนักและแรงมากระแทกเข้าที่หน้าของหัวหน้าโจรจนมันล้มลง เลือดกำเดาไหลทะลักออกมา

“ลูกพี่!!” โจรอีกสองคนตะโกน

“พวกมึงทำอะไรกูวะ!” หัวหน้าโจรยังคงใช้มือลูบที่ปลายจมูกของตนเอง

“เปล่านะ ลูกพี่” ทั้งสองคนปฏิเสธ

“ก็มีแต่พวกมึงสองคนกับไอ้เด็กนี่ ถ้าไม่ใช่พวกมึงแล้วจะเป็นใคร ไอ้เด็กใกล้ตายนี่น่ะเหรอ”

“ยังมีนักรบสายลมอยู่ด้วยนะ” เสียงปริศนาลอยมาเข้าหูโจรทั้งสามคน

วูบ !

สายลมพัดมาอีกครั้ง คราวนี้กระชากให้โจรทั้งสามลอยตัวขึ้นจากพื้นดิน

“ว้าก ! เหวอ !” คนโฉดทั้งสามร้องออกมาพร้อมกัน 

สายลมพัดกรรโชกอย่างแรง พร้อมกับที่คนร้ายทั้งสามคนเหมือนถูกอะไรบางอย่างเล่นงานเข้าที่ใบหน้าและลำตัวพร้อมกัน 

ผัวะ ! ผัวะ ! ตุ๊บ ! “โอ๊ย!” “อ๊อก!” “อ๊าก !””ทั้งสามร้องออกมาทุกครั้งที่ลมพัดมากระทบใบหน้า ทำให้กล้าที่แม้ว่าตอนนี้จะรู้สึกเจ็บปวดแค่ไหนก็ยังต้องเงยหน้าขึ้นไปดู

สายลมครั้งหลังสุดรุนแรงที่สุดพัดพาเอาคนโฉดทั้งสามให้ลอยตัวไปตามแรงลม สูงขึ้นไป สูงขึ้นไป จนลับหายไปจากสายตาของเด็กหนุ่ม

“ปลอดภัยแล้วนะ” เสียงปริศนากล่าวขึ้นใกล้ตัวเขา กล้าฝืนเงยหน้ามองแล้วก็ต้องตกใจเมื่อเขาพบว่าคนที่เอ่ยเสียงนี้ขึ้นมานั้นเป็นใคร

นั่นมันแมวยักษ์เหรอ!

“เป็นอะไรมากไหม?” คือคำถามจากแมวยักษ์

“เจ็บ เจ็บมาก เจ็บมากเลย”

เจ้าแมวยักษ์ยกฝ่ามือ (หรือฝ่าเท้า) ขึ้นมา มีแสงสว่างออกมาจากฝ่ามือ (หรือฝ่าเท้า) นั้น แล้วก็จี้ลงตรงแผลของกล้าอย่างแรง

“อ้าก ! เจ็บ!” กล้าดิ้นทุรนทุราย

“อย่าโวยวายไป เดี๋ยวก็หายแล้ว” แมวยักษ์กล่าวกับกล้า

“เจ็บ!” กล้ายังคงดิ้นพล่านอยู่จนกระทั่ง

โครม !!!

“อูย เจ็บชะมัดเลย” กล้าเอามือลูบหัวตัวเอง นี่เขาฝันร้ายเหรอนี่ ค่อยยังชั่วหน่อย หลังจากนั่งมึนอยู่บนพื้นห้องนอนของตัวเองไปราวสิบนาที เขาก็เลิกเสื้อขึ้นเพื่อดูตรงสีข้าง 
ไม่มีแผลแฮะ เขาฝันไปจริง ๆ นั่นแหละ แต่ขออย่าได้ฝันอย่างนี้อีกเลย เพราะมันสมจริงเหลือเกิน

“กล้า ตื่นได้แล้วลูก เก้าโมงแล้ว”

พอได้ยินเสียงของพ่อ กล้ารีบลุกขึ้นจากพื้นห้องทันที แล้วเดินเข้าห้องน้ำชั้นบน แปรงฟัน อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า เสร็จแล้วลงไปชั้นล่าง เขาพบว่าแม่ของเขาได้เตรียมข้าวต้ม และบรรดากับข้าว มีไข่เค็ม ไชโป๊ว ต้มจับฉ่าย ไข่เจียว กุนเชียง ไว้บนโต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว

“สุขสันต์วันเกิดจ๊ะลูก” ผู้เป็นแม่กล่าวทักทายเมื่อเห็นกล้าเดินลงมา

“อรุณสวัสดิ์ครับ คุณพ่อ คุณแม่” กล้ากล่าวทักทายตอบ

“อายุครบ ๑๖ ปีบริบูรณ์แล้วนะเรา” พ่อพูดโดยไม่เงยหน้าขึ้นจากหนังสือพิมพ์ที่อ่านอยู่
กล้านั่งลงเพื่อจะกินอาหารเช้า แต่ก่อนที่เขาจะหยิบช้อนขึ้นมาก็นึกขึ้นได้ว่าควรจะพูดอะไรก่อน

“คุณพ่อครับ คุณแม่ครับ ผมขอโทษด้วยที่เมื่อวานกลับดึก” 

“คราวหลังก็อย่าทำอย่างนี้อีกก็แล้วกัน” แม่กล่าว

“ครับ” กล้ารับคำ

“แม่ก็จริงจังไปได้ ลูกกลับมาแค่เที่ยงคืนเอง”

“นั่นสินะ ถ้ากลับมาตอนตีห้าค่อยเป็นห่วงก็แล้วกันนะคะที่รัก”

กล้าขบขันกับคำต่อล้อต่อเถียงระหว่างพ่อกับแม่ของเขานัก ทั้งสองคนยังคงต่อปากต่อคำอยู่ตลอดเวลาที่กล้านั่งกินอาหารเช้าอยู่ จนกระทั่งเมื่อล้างจานเสร็จแล้ว ก็ยังไม่เลิกต่อล้อต่อเถียงกัน หรือนี่จะเป็นของขวัญที่พ่อกับแม่ของเขาเตรียมให้เขาในวันคล้ายวันเกิดวันนี้กันนะ

ปิ๊งป่อง !

เสียงกริ่งหน้าบ้านที่ดังขึ้นบอกว่ามีพัสดุภัณฑ์ส่งมาถึงบ้านของเขาแล้ว

“กล้า ช่วยออกไปรับที” ผู้เป็นพ่อบอก

“ครับ” ถึงไม่บอกเขาก็ทำอยู่แล้ว เนื่องจากเขารู้ดีว่าจะมีพัสดุภัณฑ์ส่งมาให้เขาหลายชิ้นในวันนี้อย่างแน่นอน และก็เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ เสียด้วย
พัสดุภัณฑ์ที่จ่าหน้าถึง “แกล้วกล้า สันติธรรม” มีอยู่ไม่ต่ำกว่าหกกล่อง ผู้ส่งมีทั้งที่เป็นญาติและเพื่อนพ้องของเขา แต่สิ่งที่ทำให้เขาดีใจที่สุดเป็นกล่องที่ระบุว่าผู้ส่งคือ “METHA SANTIDHAM” หรือชื่อภาษาไทยว่า “เมธา สันติธรรม” พี่ชายของเขาเอง

“มีพัสดุจากพี่เก่งด้วยครับ” กล้าหันไปพูดกับคุณพ่อที่ออกมาลงลายมือชื่อรับพัสดุภัณฑ์จากบุรุษไปรษณีย์

“เหรอ ดีจริง ส่งมาจากเคนยาเชียวนะ แล้วนี่ของใครล่ะนี่” ธนา สันติธรรม หยิบกล่องหนึ่งขึ้นมา บนกล่องนั้นมีห่อกระดาษที่มีลวดลายรูปแมวจำนวนมาก บ้างเป็นรูปแมวกำลังไล่จับหนู บ้างเป็นรูปแมวกำลังเลียขาหน้าของตัวเองอยู่ ฯลฯ

“สงสัยจะเป็นของพี่แมวล่ะมั้งครับ” กล้าพลิกดูก็เห็นว่าจ่าหน้าถึงเขาจริง ส่วนชื่อผู้ส่งก็คือ “วิฬาร์ เทวารักษ์” “ของพี่แมวจริง ๆ ด้วย”

“เอาละรีบไปเปิดกล่องของขวัญกันเถอะครับ” กล้าพูดขึ้นมา

“รีบร้อนจริง ๆ นะเรา” นภา สันติธรรม กล่าว

   กล้าหอบของขวัญทั้งหมดเข้าไปในบ้าน แล้วรีบแกะกล่องของขวัญที่ได้รับมาจากพี่ชายก่อนเลย เขาพบว่าพี่ชายส่งของที่ระลึกจากประเทศเคนยามาให้เป็นรูปชาวเผ่ามาไซแกะสลักจากไม้อย่างประณีต แล้วยังมีไปรษณียบัตรและรูปภาพของพี่เก่งที่ถ่ายรูปคู่กับเจ้าหน้าที่ขององค์การ UNICEF อีกอย่างละใบด้วย

   เก่ง พี่ชายของเขาซึ่งอายุห่างจากเขา ๙ ปี แถมเกิดวันเดียวกันกับเขา คือ วันที่ ๓ พฤษภาคม นั้น หลังจากจบการศึกษานิติศาสตร์บัณฑิตเกียรตินิยมอันดับหนึ่งจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แล้ว ก็สมัครเข้าทำงานกับองค์การ UNICEF ประจำประเทศไทย แล้วไม่นานก็ทำเรื่องขอไปทำงานที่ต่างประเทศ โดยได้ไปทำงานที่ประเทศโซมาเลีย ซึ่งเรื่องนี้ทางคุณพ่อคุณแม่และเขาคัดค้านอย่างหนัก แต่พี่ชายของเขาแค่ตอบอย่างใจเย็นว่า

“ผมก็จะได้ให้ของขวัญกับพวกเขาไงครับ”

   ใช่ของขวัญที่ให้กับคนอื่นเนื่องในวันคล้ายวันเกิดของสองพี่น้อง คุณปู่คุณย่าของสองพี่น้องตั้งความหวังไว้ว่า หลาน ๆ อย่างพวกเขาจะต้องทำประโยชน์ให้กับคนอื่นเป็นการตอบแทนสังคม ไม่ใช่รับแต่ของขวัญอย่างเดียว  ดังนั้น สองพี่น้องจึงต้องบำเพ็ญประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งเมื่อถึงวันที่ ๓ พฤษภาคม ยกตัวเช่นอย่างเมื่อสองปีที่แล้ว เขาทั้งสองคนอัดวิดีโอลง YouTube เพื่อรณรงค์ให้นักเรียนช่างกลเลิกตีกัน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ผลก็ตาม แต่วิดีโอของทั้งสองคนก็ได้รับความนิยมมาก มีผู้เข้าไปดูถึง ๒๐,๐๐๐ คน และกลายเป็นข่าวใหญ่ไปถึงห้าวันเต็ม ๆ ตอนนั้น กล้าจำได้ว่ามีสื่อมวลชนมาขอสัมภาษณ์เขาถึงในห้องเรียนเลยทีเดียว

และปีที่แล้วนี่แหละที่เก่งขอไปทำงานที่โซมาเลียเพื่อช่วยเหลือคนที่อยู่ในประเทศด้อยพัฒนาแต่ถูกคัดค้านจากคนในครอบครัว เนื่องจากเป็นการเสี่ยงอันตรายเกินไป อาจถึงแก่ชีวิตได้
“ทำไมลูกไม่เปลี่ยนไปช่วยกล้าปลูกต้นไม้เพื่อฟื้นฟูป่าชายเลนแทนล่ะ”
แม่ของพวกเขาแนะนำ
“ก็น่าสนใจดีเหมือนกันนะครับ” เก่งตอบว่าอย่างนั้น และเก่งก็ได้ช่วยเขากับเพื่อนในการปลูกต้นไม้ในป่าชายเลนที่จังหวัดตราดด้วย
และเมื่อกลับมาแล้ว พวกเขาทั้งครอบครัวก็ได้ไปสวดมนต์ที่พระวิหารหลวง วัดสุทัศน์เทพวราราม ซึ่งเมื่อถึงคราวอธิษฐานขอพร เก่งได้อธิษฐานออกมาว่า 

“ผมขอสัญญาต่อองค์พระศรีศากยมุนีว่า ผมขออุทิศชีวิตนี้เพื่อช่วยเหลือเด็กทั่วโลกจากการถูกทำร้าย ถูกล่วงละเมิด ถูกทอดทิ้ง ถูกใช้แรงงานหนักโดยไม่เป็นธรรม ถูกตัดโอกาส ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการทำสงคราม ฯลฯ”

ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครกล้าขัดขวางเก่งอีก เพราะกลัวว่าเก่งจะเสียสัตย์ที่ให้ไว้ต่อองค์พระศรีศากยมุนี จึงจำใจอนุญาตให้เขาไปได้ตามที่ต้องการ เพียงแต่ขอให้เก่งติดต่อกลับมาเป็นประจำ  ซึ่งเก่งก็รับคำ หลังจากนั้น หนึ่งเดือนเก่งก็เดินออกเดินทางไปเตรียมตัวที่ประเทศเคนยาก่อน แล้วถึงค่อยเข้าไปในโซมาเลีย เก่งติดต่อกลับบ้านมาเสมอทั้งทางไปรษณียบัตร อีเมล์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องขอบคุณโปรแกรม
สไกป์ (Skype) ที่ช่วยให้เราเห็นหน้าเห็นตาพูดคุยกันข้ามทวีปได้
กล้าพลิกดูข้างหลังไปรษณียบัตรแล้วอ่านข้อความที่เก่งเขียนมาถึง ซึ่งมีเนื้อหากล่าวถึงชีวิตความเป็นอยู่และงานการที่ทำ มีการฝากความคิดถึงมาถึงคนในครอบครัวด้วย 
‘ ส. ๓ พฤษภาคม ๒๕xx จะสไกป์มาตอนเวลา ๑๑ โมงเช้า ตามเวลาประเทศไทย’ นี่ใกล้เวลา ๑๑ โมงเช้าแล้วนี่นา 
“พ่อครับพี่เก่งจะสไกป์มาหาเราตอน ๑๑ โมงเช้า ผมขึ้นไปเอาโน๊ตบุ๊คก่อนนะครับ”
“แล้วรีบลงมาล่ะ” 
กล้ารีบขึ้นไปเอาเครื่องโน๊ตบุ๊คของตัวเองลงมา เปิดเครื่องและเปิดสัญญาณ WIFI เรียบร้อยแล้ว ได้เวลาพอดี

“สวัสดีครับ คุณพ่อ คุณแม่ กล้า เป็นอย่างไรบ้าง สบายดีไหมครับ” ภาพของเก่งปรากฏบนหน้าจอโน๊ตบุ๊ค 
“สบายดีครับพี่เก่ง ตอนนี้พี่อยู่ที่ไหน?” กล้าถาม

“ไนโรบี เขาให้กลับมาประชุมกันก่อน” เก่งตอบน้องชายกลับ

“รักษาตัวด้วยนะลูก” นภากล่าวกับลูกชายด้วยความเป็นห่วง


“ครับ ไม่ต้องห่วงหรอกครับคุณแม่”

“ทำงานที่นั่น สนุกไหมลูก?” ธนาถามบ้าง

“ก็สนุกดีครับ พวกเด็ก ๆ น่ารักดี แต่พวกที่ถือปืนก็เยอะ โชคดีที่เราได้ทหารสหประชาชาติคอยให้ความคุ้มครอง โดยเฉพาะผู้หมวดเดชาก็คอยช่วยเหลือผมอยู่”

“ลูกปลอดภัยก็ดีแล้ว ว่าแต่เมื่อไหร่จะกลับมาบ้านซะทีล่ะ แม่เขาจะได้ทำซอฟต์เค้กรสบลูเบอร์รี่ ของโปรดของลูกไงล่ะ”

“ก็คงต้องรออีกสักพักแหละครับ เดี๋ยวพอพ้นเดือนนี้ไปแล้ว งานก็จะหนักขึ้นอีก”

“พี่เก่งรีบทำงานแล้วรีบกลับมานะครับ จะได้ไปเที่ยวด้วยกัน”

“เอาแต่ไปเที่ยวนะเราน่ะ”

กล้าร้อง แหะ แหะ แก้เขิน

“วันนี้ก็อายุได้สิบหกปีแล้วคิดหรือยังว่าจะเรียนต่อคณะไหน”

“ยังเลยครับพี่” เขาเรียนไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ เลยไม่รู้ว่าจะเข้าคณะไหนดี “เริ่มคิดถึงอนาคตได้แล้ว ว่าโตขึ้นจะเรียนอะไร จะทำงานอะไร จะแต่งงานเมื่อไหร่ มีแฟนหรือยังหือ” 

“พี่ก็รู้คำตอบอยู่แล้วนี่ครับ” กล้ายักคิ้วให้พี่ชาย “ยังโสดอีกนาน”

“เอาน่าสักวันก็คงต้องเจอคนที่ใช่บ้างแหละ”

“แล้วพี่ล่ะเจอคนที่ใช่บ้างหรือยัง พี่แมวหรือเปล่า” กล้าแกล้งถามพี่ชาย

“พูดอะไรอย่างนั้น แมวเป็นแค่รุ่นน้องโต๊ะเอง”

“แต่ผมก็เคยเห็นนะว่าพี่แมวน่ะมักจะชอบหน้าแดงเวลามองหน้าพี่ แล้วก็มักจะพูดติดอ่างเวลาที่คุยกับพี่”

“พอเลย พอเลย เขาเป็นแค่รุ่นน้องโต๊ะ โอเคนะ”

“คร้าบบบ!” กล้าแกล้งลากเสียงยาว

“ยังกวนประสาทอยู่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง”

“ก็ผมเป็นน้องพี่นี่”

“เดี๋ยวเถอะ”

“พูดถึงพี่แมวแล้ว วันนี้พี่แมวส่งของขวัญมาให้ด้วยล่ะ”

“เหรอเป็นอะไรล่ะ”

“ไม่รู้สิครับ ยังไม่ได้แกะดูเลย”

“ผ้าเช็ดตัวลายแมวเหมียว แล้วก็คริสตัลอีกสี่ก้อน” ธนาตอบให้แทน

“อ้าวพ่อ ไปยุ่งกับของขวัญของลูกทำไมกัน” นภาติสามีของเธอ

“เมื่อกี้พ่อว่ามีอะไรบ้างนะครับ” กล้าถาม

“ก็ผ้าเช็ดตัว และก็คริสตัลไงเล่า” “เอ ! แปลกจังแฮะ ทำไมให้ผ้าเช็ดตัวแล้วก็ต้องให้คริสตัลมาด้วยนะ ไม่เห็นจะเข้าใจ  แต่ก็สวยดีนะ” ธนายกคริสตัลทั้งสี่ก้อนซึ่งร้อยเป็นพวงขึ้นส่องดู มันสะท้อนแสงเป็นประกายระยิบระยับแลดูงดงามยิ่งนัก

“อะแฮ่ม!” พอศรีภรรยาส่งเสียงเตือนสามีก็ยื่นคริสตัลไปให้กล้า กล้ารับไว้ก่อนจะเอามาอวดให้เก่งดู

“ก็สวยอย่างที่พ่อว่าไว้จริงนั่นแหละ อย่าลืมขอบคุณพี่เขาด้วยก็แล้วกัน” เก่งตอบ

“แล้วผมก็จะบอกว่าพี่เก่งฝากความคิดถึงทั้งตัวและหัวใจมาให้ รับรองพี่แมวต้องละลายแน่”

“เอาเข้าไป”

“แล้วกล้าคิดว่าปีนี้จะให้อะไรเป็นของขวัญแก่คนอื่นบ้างล่ะลูก”

“ผมคิดว่าปีนี้จะบริจาคเงินและหนังสือเข้ามูลนิธิที่ตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือผู้คนที่ได้รับความเดือดร้อน
จากภัยผู้ก่อการร้ายในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้นะครับ”

“ดีมาก แต่ปีนี้แม่และพ่อขอของขวัญเพิ่มอีกชิ้นจะได้ไหม”

“อะไรหรือครับ”

“ก็ของขวัญที่แม่ พ่อ และพี่เขาอยากได้มานานแล้วอย่างไรล่ะลูก”

“ผมเกรงว่าอาจจะยังไม่ได้ภายในปีนี้นะครับ”

“ว้า ! แล้วเมื่อไหร่จะได้ซักทีล่ะ”

“ก็ไม่รู้เหมือนกันครับ”

   ของขวัญชิ้นนี้เป็นของขวัญที่ให้ได้ยากเนื่องจากเกี่ยวกับพฤติกรรมของกล้าโดยเฉพาะ เขาชอบทำอะไรที่ออกจะกล้าบ้าบิ่นไปสักหน่อย แถมฝีปากของเขาก็เป็นเช่นชื่อเล่นของเขาเสียด้วย 
อันที่จริง กล้าไม่ใช่คนที่พูดจาก้าวร้าวหยาบคาย เป็นเพียงแต่คำพูดคำจาของกล้าออกแนวกวนตีนมากกว่า และกล้าเป็นคนที่พูดจาโผงผางตรงไปตรงมา หากเห็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องแล้วเป็นต้องโวยวายสวนกลับคู่สนทนาทุกที

    นั่นทำให้หลายคนไม่พอใจ หลายคนว่ากล้าสมควรได้เคี้ยวหมากเสียบ้าง คนในครอบครัวเองรู้สึกหนักใจกับพฤติกรรมของกล้า ทั้งธนา นภา และเก่งเองก็เคยเตือนกล้าว่าต่อไปกล้าจะเดือดร้อนเพราะปาก จึงขอให้กล้าระมัดระวังคำพูดเสียบ้าง ซึ่งกล้าก็รับคำ แต่ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตรงนี้ได้เสียที

“ว่าแต่ปีนี้พี่จะให้อะไรเป็นของขวัญแก่สังคมล่ะครับ?”


“นี่เลย โครงการรณรงค์ให้เลิกขับขี่รถบนทางเท้า ดูได้ที่ change.org”

“เป็นโครงการที่ดีนี่ หวังว่าคงได้ผลนะ” 

“เราต้องเชื่อว่าเราสามารถทำให้สังคมน่าอยู่ขึ้นได้ครับคุณพ่อ”

“ดีแล้วลูกพ่อ”

หลังจากการสนทนาทางสไกป์กับเก่งแล้ว กล้าก็ได้ไปเปิดห่อของขวัญที่เหลือ ซึ่งก็ปรากฏว่ามีทั้งหนังสือ เครื่องเขียน ไดอารี่ external hard drive กล้ามีความสุขกับของขวัญที่ได้มามาก

ปิ๊งป่อง !

“อ้าว ! ใครกดกริ่งล่ะ” นภาถามในขณะที่กำลังกินอาหารกลางวันอยู่กับธนาและกล้า

“คงเป็นเพื่อนผมน่ะครับคุณแม่ วันนี้นัดไปเที่ยวที่สวนสนุกด้วยกัน”

“อะไรกัน เที่ยวอีกแล้ว” นภาบ่น

“วันนี้ไม่กลับดึกแน่ครับ” กล้าพูดเสร็จก็รวบช้อนส้อม ดื่มน้ำไปหนึ่งแก้ว แล้วรีบขึ้นไปเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเป็นชุดเสื้อยืดคอปก กางเกงยีนส์ขายาว 

“ผมไปก่อนนะครับคุณพ่อ คุณแม่” กล้าพูด

“พ่อฝากเงินไปทำบุญด้วย” ธนายื่นเงินห้าพันบาทให้กล้า

“แม่ก็เหมือนกัน อย่าทำหายล่ะ” นภายื่นเงินอีกห้าพันบาทให้

“ครับผม” กล้ารับเงินจากคุณพ่อคุณแม่ แล้วรีบเดินไปหาเพื่อนที่รออยู่นอกบ้าน

“ไง ! ปล่อยให้รอตั้งนาน” เป็นเพลิงนั่นเอง

“ก็ไม่นานเกินรอหรอกน่า” กล้าตอบกลับ

“คราวหลังต้องเร็วกว่านี้” ใหญ่ เพื่อนร่วมห้องร่างยักษ์พูดขึ้นมาบ้างพลางใช้มือซ้ายตบไปสีข้าง นั่นทำให้กล้าสะดุ้ง

“เป็นอะไรหรือเปล่า?” กรรณ เพื่อนสาวร่วมห้องแสดงความเป็นห่วง

“ไม่เป็นอะไรมากหรอก แค่รู้สึกเจ็บนิด ๆ” กล้าเอามือคลำที่สีข้างของตนเอง

“คราวหลังก็ควบคุมแรงไว้บ้างนะนายน่ะ” เพลิงหันไปพูดกับใหญ่

“อะไรกัน ฉันแค่สะกิดเท่านั้นเอง” ใหญ่

“นั่นสะกิดของนายเหรอ ไอ้แรงช้างเอ้ย” เพลิงสับเข้าให้

“นี่อย่าทะเลาะกันเลย รีบไปกันเถอะนะ เดี่ยวสวนสนุกจะปิดซะก่อน” กรรณ พูดหย่าศึก

“ไม่ต้องกังวล นั่งรถเมล์ชั่วโมงเดียวก็ถึง” ใหญ่ว่า

“อื้ม! ไปกันเถอะ แต่ขอแวะธนาคารก่อนนะ” กล้าเดินนำเพื่อนอีกสามคนเข้าไปที่ธนาคาร
กล้ารีบนำเงินหนึ่งหมื่นบาทที่คุณพ่อคุณแม่ให้มาบวกกับเงินหนึ่งพันบาทของตัวเองนำเงินเข้าบัญชีของมูลนิธิช่วยคนใต้ ซึ่งเป็นมูลนิธิที่ตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือผู้คนที่ได้รับความเดือดร้อนจากภัยผู้ก่อการร้ายในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงได้ขึ้นรถเมล์ไปกับเพื่อน ๆ พวกเขามาถึงสวนสนุกที่รัตนาธิเบศร์เมื่อเวลา ๑๔.๐๐ น.

“ว้าว! ใหญ่จัง คนเยอะด้วย” กรรณอุทาน

“เพิ่งเปิดใหม่เลยนะ” ใหญ่ซึ่งเป็นคนเสนอสถานที่เที่ยวบอก

“แล้วเราจะเล่นอะไรกันบ้างล่ะ” กรรณถาม

“ก็แล้วแต่เธอ แต่อย่าลืมบ้านผีสิงนะ” เพลิงว่า

“บ้านผีสิงมันไม่เร้าใจหรอก ขึ้นรถไฟเหาะตีลังกาดีกว่า” ใหญ่เสนอขึ้นมาบ้าง

“โหย! เล่นแต่อะไรเสียว ๆ ทั้งนั้นเลย แล้วกล้าล่ะจะเล่นอะไรดี ว้าว! สวยจังเลย” กรรณอุทานเมื่อเห็นกล้าหยิบคริสตัลที่ได้รับมาเป็นของขวัญในวันนี้มาแขวนคอ

“คริสตัลน่ะ ได้มาจากรุ่นพี่ที่รู้จัก” 

“มีตั้งสี่สีแนะ ขอดูหน่อยได้ไหม” กรรณแบมือ

“ได้เลย” เมื่อกล้าอนุญาตกรรณก็หยิบขึ้นมาดูทีละอันทีละอัน

“เราจะไปเล่นกันได้หรือยัง” 

“แหม! รีบร้อนจังเลยนะนาย” กรรณว่า

“แต่เพลิงก็พูดถูกนะ มัวแต่ดูคริสตัลอยู่ก็ไม่ต้องไปเล่นกันพอดี” กล้าบอก

“รู้แล้วล่ะน่า งั้นเล่นอะไรก่อนดี” 

“ก็ต้องรถไฟเหาะตีลังกานั่นแหละ” ใหญ่ว่า
ด้วยเหตุนี้ พวกเขาทั้งหมดจึงได้มายืนเข้าคิวอยู่ที่หน้ารถไฟเหาะตีลังกา

“เมี้ยว! เมี้ยว!” แมววิเชียรมาศตัวหนึ่งเข้าไปเคล้าแข้งเคล้าขาของกล้า

“เฮ้ย! จั๊กจี้นะ” กล้าก้มลงไปพูดกับมัน

“น่ารักจัง” กรรณย่อตัวลงไปกะจะลูบขนของมัน

“กรรณอย่าไปแตะตัวมัน เดี๋ยวมันกัด อีกอย่างมันสกปรกนะ” กล้าเตือน

“รู้แล้วล่ะน่า” กรรณเบ้ปาก

“สี่คนครับ” เพลิงพูดกับคนขายตั๋ว 

“คนละร้อยบาท รวมทั้งหมดสี่ร้อยบาทค่ะ” พนักงานยื่นตั๋วมาให้เพลิง

‘แพงชะมัด’ เพลิงคิดในใจ แต่ก็ส่งเงินให้พนักงานแต่โดยดี

พวกเขาเดินเข้าไปนั่งในรถไฟเหาะ

“เขาไม่ให้แกขึ้นมาหรอก อยู่ตรงนี้นั่นแหละ” กล้าหันไปพูดกับเจ้าแมววิเชียรมาศที่ทำท่าเดินเข้ามาในรถไฟเหาะด้วย มันนั่งมองกล้าตาแป๋ว

*****

ขณะเดียวกันที่บ้านของกล้า ธนากำลังนั่งดูข่าวอยู่
“...ขณะที่นักบินอวกาศของสถานีอวกาศนานาชาติ SS กำลังตรวจดูบริเวณที่สถานีได้รับความเสียหายจากการถูกวัตถุอวกาศพุ่งชน ก็ได้พบร่องรอยประหลาดมีลักษณะคล้ายรอยขีดข่วนของเล็บแมวและรอยจิกของนกอยู่ตรงบริเวณดังกล่าว...”

“เดี๋ยวนี้มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นเยอะเลยนะ แม่ว่ามันคล้ายเล็บแมวหรือเปล่า” ธนาชี้ให้ดูภาพข่าวที่ฉายให้เห็นร่องรอยคล้ายรอยขีดข่วนของเล็บแมวที่ว่า

“คุณคะ ฉันต้องรีดผ้านะคะ ไม่มีเวลามาดูหรอกค่ะ” 

*****

“ขออีกสักรอบ” กล้าพูด


“ฉันไม่ไหวแล้ว” กรรณยอมแพ้

“ได้เลย แต่คราวนี้นายออกเงินนะ” เพลิงเสนอ

“แน่นอนอยู่แล้ว” กล้ารีบไปต่อแถว และเมื่อถึงคิวของเขา เขาก็จ่ายเงินไปสามร้อยบาท (เนื่องจากกรรณไม่เล่นแล้ว)

ตอนที่พวกเขาเดินขึ้นรถไฟเหาะ เจ้าแมววิเชียรมาศตัวเดิมก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม

รถไฟเหาะค่อย ๆ แล่นออกไปอย่างช้า ๆ ก่อนที่จะเพิ่มความเร็วขึ้นทุกขณะ ในที่สุดก็มาถึงบริเวณที่ตีลังกา แล้วก็  วิ้ว!

‘สนุกจริง ๆ’ กล้าคิด นั่งรถไฟนี่มันดีจริง ๆ นี่ถ้าได้นั่งรถไฟความเร็วสูงจะรู้สึกอย่างไรนะ
ว่าแล้วกล้าก็คิดถึงภาพตนเองนั่งรถไฟท่องเที่ยวไปในยุโรป ชมภูมิประเทศอันงดงามระหว่างทาง อยากไปเที่ยวจริง ๆ นี่ถ้าได้ไปเที่ยวก็ดีนะ ไปเที่ยวที่ไกล ๆ เลย ถือซะว่าเป็นของขวัญวันเกิดก็แล้วกัน

กล้าไม่รู้ตัวหรอกว่าตอนนี้คริสตัลทั้งสี่อันที่แขวนอยู่บนคอกำลังส่องแสงอยู่ และเมื่อถึงคราวที่รถไฟวิ่งตีลังกาอีกครั้ง

“เมี้ยว!” เจ้าแมววิเชียรมาศไม่นั่งอยู่ที่เดิมแล้ว ช่วงที่มันร้องขึ้นแสงจากคริสตัลก็สว่างเจิดจ้าจนกล้าต้องหลับตาลง และเมื่อลืมตาขึ้นอีกที เบื้องหน้าเขาก็กลายเป็นสถานที่ที่เขาไม่รู้จักซึ่งเต็มไปด้วยนกขนาดเท่าตัวคนที่สวมชุดเกราะอยู่ และยังมีแมวขนาดเท่าตัวคนอยู่อีกหนึ่งด้วย

กล้าปรารถนาอยากไปเที่ยวที่ไกล ๆ ตอนนี้ เขาได้ของขวัญนั้นตามความต้องการแล้ว


โปรดติดตามตอนต่อไป



เกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของยูนิเซฟ โปรดดู
http://www.unicef.org/thailand/tha/overview_7000.html