วันอาทิตย์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2557

ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นักกฎหมาย ความยุติธรรม ความแตกแยกในสังคมไทย


"ความยุติธรรม คือ เจตจำนงอันแน่วแน่ตลอดกาลที่จะให้แก่ทุกคนในส่วนที่เขาควรจะได้"


๑. มีเพลงหนึ่งที่นักศึกษาจากรั้วมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จะได้ร้องตอนที่ไปถวายบังคับอนุสาวรีย์กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์หน้าอาคารศาลฎีกา เพลงนั้นคือ เพลงตราชู ซึ่งมีเนื้อหาดังนี้

                       ตราชู สัญลักษณ์นิติศาสตร์ เป็นเครื่องหมายประกาศ ความบริสุทธิ์ยุติธรรม
                       นิติศาสตร์ คือสมบัติแห่งธรรม พวกเราสุขล้ำ เป็นผู้นำยุติธรรมไปพิทักษ์ประชากร (๑)

ยังมีอีกเพลงหนึ่งที่คนที่ได้ไปเข้าค่ายนักกฎหมายที่จัดโดยกลุ่มศึกษากฎหมายภาคปฏิบัติ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จะได้ร้อง คือ เพลงนิติศาสตร์สมานฉันท์
            ซึ่งมีเนื้อร้องว่า นิติศาสตร์สมานฉันท์วันสุขศรี      สามัคคีชาวเราเหล่าแดงเหลือง
                            ยุติธรรมล้ำเลิศเทิดประเทือง           นามจะเรืองโรจน์อยู่คู่ฟ้าดิน
                            นิติศาสตร์สมานฉันท์มั่นคงไว้         นิติศาสตร์ครองใจใฝ่ถวิล
                            นักกฎหมายมั่นในธรรมค้ำแผ่นดิน  ฝากนามไว้ไม่รู้สิ้นคู่ถิ่นไทย
                            นิติศาสตร์คาดหวังทั้งชายหญิง      รักความจริงดุจตะวันมิหวั่นไหว
                            เทิดในศักดิ์รักในสิทธิ์เป็นนิจไป      ทุกดวงใจแจ่มจ้าสามัคคี (๒)

เพลงเหล่านี้เป็นเพลงปลุกใจให้บรรดานักกฎหมายทั้งหลายได้ใช้วิชาความรู้ทางกฎหมายที่พวกตนได้ร่ำเรียนมาในการประสิทธิ์ประสาทความยุติธรรมให้กับผู้คนในสังคม แต่ในปัจจุบันกลับพบว่านักกฎหมายมีส่วนอย่างมากในก่อให้เกิดความไม่ยุติธรรมในสังคมไทย และยังมีความขัดแย้งในทางความคิดกันอย่างรุนแรง ถึงขั้นแบ่งเป็นฝักฝ่ายเลยทีเดียว

 ๒. โดยดูได้คำพิพากษาของศาลในคดีต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเนื่องมาจากสถานการณ์ความขัดแย้งในทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นกรณีของการลงโทษจำคุกผู้ต้องหาที่ทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ อย่างรุนแรง หลายคดี , คำพิพากษาในคดีปราสาทพระวิหาร (ศาลรัฐธรรมนูญ , ศาลปกครอง) , คำพิพากษาลงโทษจำคุกอดีต กกต. ที่จัดคูหาเลือกตั้งผิดทิศ หรือคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการอาศัยพจนานุกรมในการตีความความหมายของคำว่า "ลูกจ้าง" ซึ่งส่งผลให้นายสมัคร สุนทรเวช ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี , การวินิจฉัยคดียุบพรรคการเมือง ที่ยุบพรรคไทยรักไทยและพรรคการเมืองอื่น ๆ แต่ไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ แถมยังอ่านคำวินิจฉัยยาวเหยียดหลายชั่วโมง , การวินิจฉัยว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ ส.ว. มาจากการเลือกตั้งและการแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๑๙๐ ของรธน. เป็นการกระทำเพื่อให้ได้อำนาจการปกครองประเทศโดยวิถีทางที่ไม่เป็นประชาธิปไตย (ตรงไหน ?) , รวมถึงการที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางคนแสดงความคิดเห็นให้รัฐมนตรีไปแก้ปัญหาถนนลูกรังก่อนที่จะทำโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง (พูดทำไม ?) (๓)

๓. คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญหลาย ๆ กรณีนอกจากจะสร้างความกังขาให้กับบุคคลหลาย ๆ ฝ่ายในสังคมไทยแล้ว ก็ยังไม่ได้รับการยอมรับทั้งจากนักวิชาการด้านกฎหมาย และจากองค์คณะผู้พิพากษาศาลอาญาที่พิจารณาคดีเรื่องที่ อันเป็นความขัดแย้งระหว่างองค์กรศาลด้วยกัน (๔) และในส่วนของนักกฎหมายที่เป็นนักวิชาการ เป็นอาจารย์สอนกฎหมายก็ยังมีการโต้แย้งกันทั้งในทางด้านการตีความกฎหมายและทางข้อเท็จจริง กรณีการโต้วาทีระหว่างอาจารย์กิตติศักดิ์ ปรกติ กับ อาจารย์ปิยบุตร แสงกนกกุล เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนในเรื่องนี้ (๕)
 
๔. ความขัดแย้งระหว่างองค์กรศาล และระหว่างนักกฎหมายทั้งหลายนี้ ทำให้สังคมไทยเกิดความปั่นป่วนกว่าเดิมมาก แทนที่นักกฎหมายจะเป็นผู้หาทางออกให้กับสังคมไทยโดยอาศัยหลักนิติรัฐ หลักนิติธรรม กลับกลายเป็นว่านักกฎหมายบางส่วนกลับนำเสนอการความเห็นทางกฎหมายและตีความกฎหมายในทางที่ก่อให้เกิดผลประหลาด ขัดกับหลักความยุติธรรมและสามัญสำนึกของคนทั่วไปในสังคม
 
๕. นักกฎหมายทั้งหลายเหล่านี้ หลายคนอยู่สำนักเดียวกัน เป็นอาจารย์สอนอยู่ทั้งที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และที่สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา หลายท่านเคยเป็นอาจารย์ผม (ทั้งอาจารย์สมคิด เลิศไพฑูรย์ อาจารย์วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์ปิยบุตร แสงกนกกุล อาจารย์จรัญ ภักดีธนากุล อาจารย์กิตติศักดิ์ ปรกติ อาจารย์สถิตย์ ไพเราะ เป็นต้น) หลายท่านผมก็เคยเข้าไปสนทนาด้วย (เช่น อาจารย์สุรพล นิติไกรพจน์ อาจารย์วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์จรัญ ภักดีธนากุล อาจารย์ปิยบุตร แสงกนกกุล เป็นต้น) ซึ่งทุกท่านก็ล้วนแต่เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถทั้งสิ้น แต่ทำไมท่านเหล่านั้นถึงได้วินิจฉัยตีความกฎหมายต่างกันเล่า ทั้ง ๆ ที่หลักกฎหมายก็แน่นอนอยู่แล้ว เป็นเพราะอคติและความไม่ยึดมั่นในหลักการของความถูกต้องของนักกฎหมายบางกลุ่มหรือเปล่า (กลุ่มไหนล่ะ?)
 
๖. นักกฎหมายบางคน เช่น อาจารย์ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ์ ตอนเป็นอาจารย์สอนกฎหมายก็เคยวิพากษ์วิจารณ์องค์กรศาลรัฐธรรมนูญมาก่อน (ใครที่เคยอ่านปกิณกะกฎหมายในวารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และบทความอื่น ๆ ของอาจารย์ก็คงจะทราบ) แต่ปัจจุบันอาจารย์ก็เข้าไปอยู่ในตำแหน่งที่อาจารย์เคยวิพากษ์วิจารณ์ ทั้ง ๆ ที่คนส่วนใหญ่ในสังคมไทยมีข้อสงสัยในการทำหน้าที่และจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชุดปัจจุบันอยู่ แล้วอาจารย์ทวีเกียรติจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร

๗. ยังมีนักกฎหมายอีกหลายท่านที่ไม่ได้แสดงความคิดเห็นออกมาให้สาธารณชนทราบอย่างเปิดเผยและไม่ได้แสดงตัวว่าเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เช่น คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นต้น
กระผมมีความเห็นว่านักกฎหมายเหล่านี้ควรที่จะมีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งแตกแยกกันระหว่างนักกฎหมายทั้งสองกลุ่ม (คือ กลุ่มที่หนุน กปปส. กับ กลุ่มต้าน กปปส.) และเป็นฝ่ายที่อธิบายหลักการทางกฎหมายที่ถูกต้องและนำความยุติธรรมกลับคืนมาให้แก่สังคมไทยได้

๘. ที่กล่าวมานี้ั กระผมแค่อยากจะชี้ให้เห็นว่า นักกฎหมายมีบทบาทสำคัญในความขัดแย้งในสังคมไทยครั้งนี้อย่างมาก สังคมไทยจะเดินไปทางไหนก็ขึ้นอยู่กับนักกฎหมายทั้งสิ้น  ดังนั้น นักกฎหมายทั้งหลายต้องทำหน้าที่ของตน นักวิชาการและอาจารย์สอนกฎหมายจะต้องยึดมั่นในหลักการทางกฎหมายที่ตนสอนและเผยแพร่หลักการทางกฎหมายที่ถูกต้องให้สาธารณชนรับรู้  ผู้พิพากษา/ตุลาการจะต้องวินิจฉัยอรรถคดีให้เกิดความยุติธรรม
นักกฎหมายที่อยู่ในฝ่ายนิติบัญญัติจะต้องออกกฎหมายที่มีความเป็นธรรมและก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม ถ้าทำได้อย่างนี้แล้ว นักกฎหมายก็จะเป็นผู้กอบกู้สถานการณ์ของสังคมไทยที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งแตกแยกให้กลับคืนสู่ความสงบสุขได้ดังที่เคยเป็นมา
 
๙. ขอให้นักกฎหมายทั้งหลายอย่าลืมเนื้อเพลงตราชู และนิติศาสตร์สมานฉันท์ และอย่าลืมนะครับว่าความยุติธรรมคืออะไร
 
                                                                                                    นาย วสุ สรรกำเนิด

อ้างอิง

(๑)  ฟังเนื้อเพลงตราชูได้ที่ http://www.youtube.com/watch?v=j-VZSaCcMWU

(๒) ดูเนื้อเพลงนิติศาสตร์สมานฉันท์ได้ที่

http://www.websuntaraporn.com/suntaraporn/lyric/postlyric.asp?GID=1905

(๓)  โปรดดู http://news.voicetv.co.th/democracycrisis/93476.html

(๔) โปรดดู http://www.pub-law.net/publaw/view.aspx?id=1920 ย่อหน้าที่ขึ้นต้นว่า


จากข้อเท็จจริงตามที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยที่ 56/2556 ว่าการชุมนุมไม่ได้เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ประกอบกับคำวินิจฉัยที่ 66/2556 ระบุว่าการบุกรุกยึดสถานที่ราชการไม่เกิดขึ้นแล้ว และสถานการณ์ได้พัฒนาไปสู่การยุบสภาผู้แทนราษฎรและเข้าสู่การเลือกตั้ง จึงไม่มีมูลเป็นการฝ่าฝืน มาตรา 68 วรรค 1 แห่งรัฐธรรมนูญนั้น แตกต่างจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการไต่สวนของพนักงานสอบสวน เพราะนายสุเทพกับพวกได้ร่วมกันขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายให้ฝ่ายบริหารไม่อาจใช้อำนาจในการบริหารประเทศไทย บุกรุกเข้ายึดสถานที่ราชการ คือ กระทรวงการคลังและศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ทั้งขู่เข็ญ ตัดน้ำ ตัดไฟฟ้า เป็นเหตุให้ข้าราชการไม่กล้าเข้าไปทำงาน หรือเข้าที่ทำงานไม่ได้ อันเป็นการยุยงให้ประชาชนละเมิดกฎหมาย เป็นการมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ดังนั้น คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจึงไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในคดีนี้ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวจึงไม่มีผลผูกพันศาลอาญาให้ต้องฟังข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับศาลรัฐธรรมนูญ

(๕)  ดูคลิปงานเสวนาเรื่อง ''วิกฤตรัฐธรรมนูญ' ไทย 'ใครบิดเบือน'' ได้ที่ http://news.voicetv.co.th/thailand/91281.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น